‘ฉินฮุ่ย’กังฉินปาท่องโก๋
หากให้คนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์จีนเขียนรายชื่อกังฉินมา 10 ชื่อ
หากให้คนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์จีนเขียนรายชื่อกังฉินมา 10 ชื่อ เชื่อว่าในลิสต์ของทุกคนไม่พ้นจะต้องมีชื่อ “ฉินฮุ่ย (秦桧)”
ฉินฮุ่ยเป็นเสนาบดีกังฉินยุคราชวงศ์ซ่งใต้ เขาคือผู้มอบความตายแก่เยว่เฟย ซึ่งที่ไทยรู้จักชื่อในสำเนียงฮกเกี้ยนว่า “งักฮุย”
เยว่เฟย คือแม่ทัพซ่งที่มีปณิธานออกรบเพื่อกอบกู้แผ่นดินคืนจากแคว้นจิน แต่ขณะที่ทัพเยว่เฟยรุกคืบ ฮ่องเต้ซ่งกลับเรียกตัวและทัพของเยว่เฟยกลับเมืองหลวง 12 ครั้งติด เยว่เฟยจึงจำต้องถอยทัพ เมื่อกลับมาก็โดนข้อหาขัดพระบัญชา และตามมาด้วยการยัดข้อหาให้โทษถึงตาย ทั้งหมดมีฉินฮุ่ยเป็นผู้ยุยง
ความคับแค้นกังฉินแต่ทำอะไรไม่ได้ของชาวบ้าน ถูกระบายออกมาด้วยการปั้นแป้งแทนตัวฉินฮุ่ยและภรรยา ทอดในน้ำมัน นำมาขบเคี้ยวและกลืนกินให้สะใจ คือขนมที่ชื่อว่า โหยวจ๋ากุ้ย (อิ่วจาก้วย หรือที่ไทยเรารู้จักกันในชื่อ ปาท่องโก๋)
แต่ประวัติฉินฮุ่ยก่อนมาเป็นกังฉินน่าแปลกใจ ฉินฮุ่ยคนนี้นี่แหละเคยอยู่ข้างการทำสงครามต่อต้านแคว้นจินอย่างสุดชีวิต
เมื่อไคเฟิง-เมืองหลวงของราชวงศ์ซ่งเหนือโดนทัพจินเข้าประชิด ขุนนางซ่ง 7 ใน 12 เสนอให้เจรจายอมแพ้ ฉินฮุ่ยเป็นหนึ่งในเสียงส่วนน้อยที่ถวายฎีกาให้ต้านทัพจิน ย้ำว่าไม่อาจยอมยกแผ่นดินให้ผู้รุกราน
แต่ฮ่องเต้ซ่งชินจงไม่ฟัง ที่สุดก็ถูกจับเป็นเชลยพร้อมราชนิกุลและขุนนาง หนึ่งในนั้นรวมถึง ฮ่องเต้ซ่งฮุยจงผู้เป็นพ่อ ซึ่งก็ชิ่งไปก่อนด้วยการสละราชสมบัติให้ลูก (ซ่งชินจง)
แคว้นจินจึงจับฮ่องเต้ซ่งได้ถึง 2 องค์ในคราวเดียว
แคว้นจินเดินเกมการเมืองขั้นพื้นฐาน ประกาศความไม่เอาไหนของฮ่องเต้ซ่ง แต่งตั้งฮ่องเต้หุ่นเชิดองค์ใหม่ เปลี่ยนราชวงศ์ใหม่
ฉินฮุ่ยกล้าดี เขาและขุนนางอีกจำนวนหนึ่งก้าวเท้าออกมาถวายฎีกากับฮ่องเต้จิน ยืนยันว่าถ้าจะมีฮ่องเต้ใหม่ ก็ต้องเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์ซ่งเท่านั้น แผ่นดินซ่งต้องยังต้องเป็นซ่งดังเดิม
หมาป่าที่ไหนจะฟังลูกแกะ ฉินฮุ่ยและคณะจึงถูกย้ายขึ้นเหนือไปเป็นเชลยในแคว้นจิน
บอกเลยว่า ถ้าฮ่องเต้จินโมโหแรง จับฉินฮุ่ยไปประหาร ป่านนี้ชื่อฉินฮุ่ยคงอยู่ในทำเนียบขุนนางรักชาติไปแล้ว
แม้เสียเมืองหลวงไป และฮ่องเต้ก็โดนจับเป็นเชลย แต่แผ่นดินทางใต้ที่เหลือยังเอาอยู่ ราชวงศ์ซ่งใต้จึงถือกำเนิดขึ้นโดยพลัน ฮ่องเต้ซ่งเกาจง ฮ่องเต้องค์แรกแห่งราชวงศ์ซ่งใต้ คือลูกและน้องชายของฮ่องเต้ 2 องค์ที่ยังเป็นเชลยอยู่ทางเหนือ
ขุนนางและแม่ทัพของราชวงศ์ซ่งใต้ยังคงเรียกร้องให้ทวงแผ่นดินทางเหนือคืนต่อไป ใครไม่ตะโกนเอาแผ่นดินคืน คนนั้นไม่รักชาติรักแผ่นดิน
แต่ในกระแสแรงเช่นนี้กลับซ่อนความลำบากใจให้ซ่งเกาจง
หนึ่ง สงครามที่ผ่านมาบอกแล้วว่าราชวงศ์ซ่งอ่อนแอที่จะต่อกร สอง หากหักโหมไปใครจะรับรองความปลอดภัยให้พ่อและพี่ สาม หากฮ่องเต้ทั้งสองกลับคืนมาแล้วใครจะอยู่ในฐานะใด สี่ ในสถานการณ์บ้านเมืองที่หวั่นไหว ให้อำนาจทหารกับแม่ทัพไปสร้างบารมีมากเกินไป ใครจะรับรองว่าจะไม่เกิดเหตุพลิกผัน
เอาเป็นว่าหากพิจารณาด้วยความยุติธรรม ความกลุ้มใจของซ่งเกาจงมีมากมายและทุกข้อเข้าใจได้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถแก้ไขด้วยการทอดหรือเคี้ยวปาท่องโก๋
แล้วฉินฮุ่ยก็กลับมา
หลังถูกจับไป 4 ปี ฉินฮุ่ยหนีออกจากแคว้นจินได้สำเร็จ กลับมาเป็นขุนนางในราชสำนักซ่งใต้ได้อย่างภาคภูมิ พร้อมความรู้ความสามารถด้านการประสานงานและภาษาจิน เนื่องจากเมื่ออยู่แคว้นจินฉินฮุ่ยไม่ได้อยู่ในฐานะเชลยเพียงอย่างเดียว แคว้นจินยังใช้ฉินฮุ่ยเป็นขุนนางอยู่พักใหญ่เช่นกัน
แต่คราวนี้ฉินฮุ่ยเปลี่ยนไป๋ ฉินฮุ่ยชูนโยบาย “สงบศึก ยอมเสียดินแดนและค่าต๋งบ้าง เพื่อรักษาซ่งใต้” ภาษาการเมืองเรียกเหยี่ยวกลายเป็นพิราบ ภาษาหุ้นเรียก
“Cut-Loss”
ฉินฮุ่ยเข้ามาตอบโจทย์ความกลุ้มใจ ยิ่งนานวัน ซ่งเกาจงก็ยิ่งสนับสนุนนโยบายของเขา ไม่นานนักฉินฮุ่ยก็ถูกแต่งตั้งเป็นอัครเสนาบดี เป็นตัวตั้งตัวตีขัดขวางนโยบายรบทวงแผ่นดิน
สำหรับนโยบายที่ฝืนกระแสรักชาติแบบนี้ ฉินฮุ่ยยังมีหน้าที่รับคำก่นด่าจากชาวบ้านอีกด้วย หน้าที่นี้ต้องคนกล้าดีอย่างฉินฮุ่ย ภาษาสนุกเกอร์เรียกว่า ซ่งเกาจง“ใช้บ๋อย” ไปไล่ปัญหา และรับแรงกระแทกแทน
ฉินฮุ่ยยิ่งได้อำนาจบ๋อยยิ่งเมามัน ใครวางตัวเป็นฝ่ายตรงข้าม ขัดขวางนโยบายสงบศึกเป็นต้องโดนใส่ความ ยัดข้อหา เนรเทศ หรือประหาร ฉินฮุ่ยยืมอำนาจจากฮ่องเต้มาใช้อย่างไม่ลังเล เยว่เฟยจึงตกเป็นหนึ่งในเหยื่อ
อีกด้านหนึ่ง การสวนกระแสสังคมใช่จะปลอดภัยหรือสุขสบาย เขาเคยถูกลอบสังหาร เส้นทางแห่งอำนาจนี้จึงควรให้ญาติและพรรคพวกของตัวสร้างเครือข่ายให้มั่นคง ในเงื่อนไขที่ว่าบารมี และอำนาจทั้งหมด จะใช้คุกคามใครก็ได้ ยกเว้นฮ่องเต้
ส่วนเรื่องคำด่าฉินฮุ่ยไม่เคยสน ขอให้ฮ่องเต้ซ่งเกาจงคอยค้ำอำนาจของตนไว้ก็เพียงพอ แล้วฉินฮุ่ยก็กลายเป็นขุนนางกล้าเลวอย่างเต็มตัว
ซ่งเกาจงก็เป็นคนปกติ ย่อมรู้ดีว่าพฤติกรรมลุแก่อำนาจของฉินฮุ่ยไม่ใช่เรื่องดี แต่อีกด้าน ยิ่งฉินฮุ่ยกล้าเลวมากเท่าไร ก็สามารถเบี่ยงเบนความสนใจ และแบ่งเบาความผิดของซ่งเกาจง (ที่ไม่ยอมสนับสนุนการทวงแผ่นดินคืน) ได้มากเท่านั้น
ฉินฮุ่ยเป็นเสนาบดีต่อเนื่อง 17 ปี และจากโลกไปอย่างสงบ โดยเหตุการณ์ในบั้นปลายชีวิตฉินฮุ่ยบ่งบอกว่าซ่งเกาจงก็ไม่ได้พอใจในพฤติกรรมของฉินฮุ่ยนัก
แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อนโยบายที่ฉินฮุ่ยนำเสนอคือสิ่งที่ซ่งเกาจงปรารถนา แต่เอ่ยออกมาไม่ได้ เพราะความขัดแย้งระหว่างตำแหน่ง ค่านิยมและสถานการณ์ ผลที่ตามมากลับกลายเป็นได้ฉินฮุ่ยที่กุมและลุแก่อำนาจ สามารถทำทุกอย่างเพื่อกำจัดคู่ต่อสู้ของนโยบายสงบศึก แม้จะใช้วิธีที่สกปรกขนาดไหนก็ได้
ความรุนแรง เลวร้าย และนิสัยกล้าเลวที่ใช้ในการปกป้องนโยบายของฉินฮุ่ย ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง ฉินฮุ่ยผูกตัวตนเข้ากับนโยบายสงบศึก นโยบายสงบศึกก็คือฉินฮุ่ย
เมื่อฉินฮุ่ยเลว นโยบายในสายตาผู้คนจึงเลวไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ปิดโอกาสให้คนได้ศึกษาทางออกอีกด้านไป เพราะเมื่อใดที่คนเห็นว่านโยบายสงบศึกเป็นทางออก คนคนนั้นคือพวกกังฉิน
ฉินฮุ่ยเคยถูกจัดเป็นขุนนางฝ่ายดี บางคนว่าที่ฉินฮุ่ยเปลี่ยนไป เพราะถูกซื้อตัว บ้างก็ว่าเป็นเพราะเขารู้สภาพการณ์ทั้งสองฝั่งดี ว่าการสงบศึกคือจุดสมดุลที่แท้จริงทางการเมืองและการทหารของทั้งสองฝ่าย
นักประวัติศาสตร์โอนเอียงไปทางข้อหลัง และหลักฐานบ่งชี้ว่าฉินฮุ่ยภักดีต่อซ่ง ไม่ใช่จิน แต่กระนั้นก็ตามทุกคนก็ยังยืนยันว่า พฤติกรรมของฉินฮุ่ยคือกังฉินตัวจริง
บทเรียนจากชีวประวัติฉินฮุ่ย ก็คือ กังฉินอาจไม่ใช่ตัวร้ายแต่กำเนิด ฉินฮุ่ยคนนี้เคยเป็นขุนนางกล้าดีมาก่อนขุนนางกล้าเลวด้วยซ้ำ
บทเรียนอีกข้อ คือ นโยบายที่ผูกติดตัวกังฉิน แท้จริงอาจไม่ใช่นโยบายที่เลวร้าย แต่สิ่งที่เคลือบให้มันเลวร้าย คือ กระบวนการผลักดันและเชิดชูนโยบายโดยการทำร้ายฝ่ายตรงข้ามโดยไม่เคารพกติกาใดๆ พฤติกรรมนี้ยังทำร้ายความชอบธรรมของนโยบายไปในตัว
ถ้าเราจะมองฉินฮุ่ยอย่างมีมิติ มีเลือดเนื้อและจิตใจ... อันว่าเป็นคน แม้จะเลวร้ายเพียงใดย่อมต้องมีข้ออ้างเพื่อความชอบธรรมในความเลวร้าย ปราการด่านสุดท้ายที่ฉินฮุ่ยเอาไว้ปกป้องความชอบธรรมคงเป็นคำอธิบายที่ว่า “เพราะนโยบายนี้เท่านั้นที่ปกป้องแผ่นดินซ่งไว้ได้ คนที่เหลือช่างโง่เขลา สมควรตาย!!!” แน่นอนว่าต้องมีประโยคท้าย เพื่อไม่ให้ทิ้งลายกังฉิน
ฉินฮุ่ยจะอธิบายตามนี้จริงหรือไม่...คงตอบไม่ได้ ฤๅจะถามปาท่องโก๋ก็คงไม่มีคำตอบให้ เราจึงได้แต่หยิบขึ้นมาเคี้ยวและกลืนกินให้หายสะใจเท่านั้นเอง


