posttoday

ฆาตกรรมตระกูลสวี กฎหมู่ข้น กฎหมายจาง

30 กันยายน 2561

ตุลาคม ค.ศ. 1941 เกิดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญในเมืองเซี่ยงไฮ้

ตุลาคม ค.ศ. 1941 เกิดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญในเมืองเซี่ยงไฮ้ ผู้ตายคือลูกชายคนโตแห่งตระกูลสวี เป็นคดีที่เกิดจากความขัดแย้งในตระกูลสวีเสียงซุน คือเศรษฐีเจ้าของธุรกิจเวชภัณฑ์ข้ามชาติ เขามีลูกชายอยู่ทั้งหมด 2 คน
 
คุณชายใหญ่ มีคุณสมบัติสมเป็นแบบอย่างของลูกชายคนโตในครอบครัวเศรษฐีจีน ใฝ่ดี มีการศึกษา รักในอาชีพการงาน เชื่อฟังพ่อ มีภรรยาที่เพียบพร้อม อยู่ในฐานะที่จะเตรียมรับช่วงกิจการของครอบครัวต่อไป ส่วนคุณชายรองคือตัวอย่างของลูกเจ้าสัวในด้านมืด ฟุ่มเฟือย หลงสุรานารี พาชีและกีฬาบัตร ใช้ชีวิตเจ้าสำราญ ผลาญเงินไปวันๆ
 
คืนเกิดเหตุไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น สรุปได้แต่เพียงว่า คุณชายรองไปขอเงินจากคุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่ไม่ให้ จึงมีปากเสียงกัน และทุกอย่างสงบลง คนที่บ้านเปิดประตูห้องเข้ามาถึง คุณชายใหญ่ก็นอนจมกองเลือดบนพื้นพร้อมกับขวานด้ามหนึ่งจามอยู่คาหัว ไม่ต้องเดาตอนต่อไปแบบในละครหลังข่าวว่าใครฆ่า ความจริงก็คือคุณชายรองฆ่าคุณชายใหญ่แน่ๆ
 
ท่ามกลางฉากรันทดสยดสยองในครัวเรือน สิ่งที่สวีเสียงซุนคิดขึ้นทันทีกลับสะท้อนคติที่ถูกปลูกฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจชาวจีนดั้งเดิมมาแสนนาน สวีเสียงซุนผู้เป็นพ่อตัดสินใจอำพรางคดี สวีเสียงซุนคิด ในเมื่อตนมีลูกชายอยู่แค่ 2 คน ลูกชายคนโตนอนไร้ลมหายใจอยู่ตรงหน้า แล้วจะยอมให้ลูกชายคนรองต้องตายจากโทษฆ่าพี่ชายไปอีกคนได้อย่างไร ตระกูลสวีอย่างไรก็ต้องมีผู้สืบทอดกิจการ ความรันทดซ้อนความโหดร้ายจึงบังเกิด สวีเสียงซุนรีบคุกเข่าขอขมาสะใภ้ใหญ่ของตนทั้งน้ำตา ขอให้อโหสิและร่วมปิดบังเรื่องนี้เพื่อตระกูลสวี พร้อมรับรองว่าชีวิตหลังจากนี้จะได้รับการดูแลให้สุขสบายไร้กังวล
 
ต่อจากนั้นสวีเสียงซุนไม่รีรอ ใช้เงินมากมายมาอำพรางคดี ทั้งซื้อศพคนอื่นมารับผิดเป็นฆาตกรแทน จ่ายค่าปิดปากให้กับคนที่เกี่ยวข้อง สวีเสียงซุนวิ่งวุ่นเพื่อให้แน่ใจว่าคดีนี้จะเงียบไปต้องเกริ่นสักนิดว่าเซี่ยงไฮ้ในปี 1941 ถูกปกครองโดยรัฐบาลของประธานาธิบดี วังจิงเว่ย แม้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลจีนพรรคก๊กมินตั๋ง แต่ที่จริงกลับเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของจักรวรรดิญี่ปุ่นที่เข้ายึดและครอบงำจีนก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะปะทุขึ้น สภาพการปกครองดูแลบ้านเมืองเหมือนในเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
 
สื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในยุคนั้นก็ไม่พ้นธรรมชาติของสื่อสิ่งพิมพ์ภายใต้รัฐบาลที่มาพร้อมอำนาจจากปากกระบอกปืน ถึงจะมีหนังสือพิมพ์หลายหัว แต่ส่วนใหญ่กลับผลิตแต่ข่าวอื้อฉาว กอสซิป บันเทิง ไม่ค่อยได้แตะเรื่องกลไกบ้านเมืองจริงจัง
 
สำนักข่าว “ผิงเป้า” ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่สำนักข่าวกอสซิปก็ใช่ว่าจะไม่สนใจที่จะขุดคุ้ยความจริงและแสวงหาความเป็นธรรมในสังคม วันหนึ่ง สำนักข่าวผิงเป้าได้รับจดหมายลึกลับ ข้อความในจดหมายทั้งบอกใบ้และท้าทาย “ไหนบอกว่าผิงเป้าชอบขุดคุ้ยความจริงไง คดีฆาตกรรมคุณชายใหญ่ที่บ้านเศรษฐีสวียังปล่อยให้คนร้ายตัวจริงลอยนวลอยู่ได้เลย...”
 
สำนักข่าวเริ่มได้กลิ่นแปลกๆ จึงเริ่มสืบเสาะข้อมูลจนเรื่องแดงขึ้นมา แน่นอนว่าหนังสือพิมพ์ผิงเป้าไม่ได้เสนอข่าวไปในเชิงตรวจสอบต่อว่าตำรวจหรือกระบวนการยุติธรรมที่ทำให้เกิดช่องโหว่จนคนผิดในคดีนี้ไม่ได้ถูกลากเข้าสู่ระบบ เพราะย่อมมีความเสี่ยงสูงที่ผิงเป้าอาจจะต้องเรียบร้อยโรงเรียนจีนใต้เงาญี่ปุ่น
 
ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ขัดสน รวยกระจุกจนกระจาย ผิงเป้าเลือกปั่นกระแสข่าวจากปมของผู้คนในสังคมที่เกลียดชังพวกคนรวยเป็นทุนเดิม ผิงเป้าจึงพุ่งเป้าไปที่คน คนตระกูลสวี ใครสักคนในตระกูลสวีนี่แหละต้องชดใช้ให้คุณชายใหญ่ และยังต้องชดใช้ให้ความโกรธเกลียดชีวิตเสเพลของบรรดาเศรษฐี ที่ชาวตลาดกลางและล่างจ้องเขม่นมาเนิ่นนาน แล้วสำนักข่าวอื่นก็พร้อมตาม ต่างร่วมปลุกกระแสกดดันและทวงถามความยุติธรรมด้วยการประหารชีวิตคุณชายรองสวีเสียงซุนใช่จะเลิกความพยายามง่ายๆ จึงยัดเงินทุกคนทุกทิศทุกทางเท่าที่ทำได้ ในที่สุดทนายก็ออกอุบายให้คุณชายรองเป็นคนป่วยทางจิตเข้าโรงพยาบาลบ้า จนดูเหมือนคดีนี้จะปิดได้ตามระบบระเบียบ
 
คดีอาจจะจบ แต่กระแสสังคมไม่มีวันจบ ยิ่งปล่อยให้อำนาจเงินซื้อความยุติธรรมได้ก็ยิ่งบานปลาย จากเรื่องความเคืองแค้นคนรวย อาจลามไปถึงเรื่องการปกครอง ถึงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมต้องออกมาไกล่เกลี่ยเจรจา จัดงานจิบน้ำชากับคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ทั้งหมดบนโต๊ะเจรจา รมต.ยุติธรรมชี้ชัด เงื่อนไขแรกของคดีนี้คือต้องให้คุณชายรองชดใช้ด้วยชีวิต ขอเพียงสวีเสียงซุนยอมแต่โดยดี คดียัดเงินปิดปากใครต่อใครจะเป็นอันจบบนโต๊ะนี้ ไม่ตามล้างตามเช็ดอีกต่อไป
 
ถึงขั้นนี้แล้ว สวีเสียงซุนจะยื้อไปก็เท่านั้น อำนาจเงินของเขาไม่สามารถง้างอำนาจรัฐบาลที่ต้องการเครื่องเซ่นสังเวยกระแสสังคมได้ สวีเสียงซุนจำต้องยอมเสียคุณชายรองไป แต่ รมต.ยุติธรรม ยังไม่วางใจที่จะปล่อยให้ระบบยุติธรรมในเซี่ยงไฮ้จัดการคดีนี้ต่อ อีกทั้งในเมื่ออย่างไรคุณชายรองก็คงจะต้องโดนประหาร ก็ควรให้มันทันการณ์กับกระแสเรียกร้องเสีย รมต.ยุติธรรม สั่งการให้ตำรวจการคลัง (ตำรวจในหน่วยงานเก็บภาษีของจีนยุคนั้น) จับตัวคุณชายรองมาแล้วรัดคอให้ตาย จากนั้นจึงถ่ายรูปศพลงหนังสือพิมพ์
 
จากนั้นกระแสเรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมจึงสงบลง คดีนี้เป็นอันจบสิ้นกัน ในมุมประชาชน การสร้างกระแสเรียกร้องความเป็นธรรมมีบทบาทอยู่ 2 ส่วน หนึ่งคือตรวจสอบตัวระบบความยุติธรรม สองคือเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเหยื่อ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในครึ่งหลัง กลับเปลี่ยนจากเสียงเรียกร้องความเป็นธรรม เป็นการข่มขู่และขืนใจให้ใช้ความอยุติธรรมเข้าแทรกแซงกระบวนการตัดสินลงโทษ คือกฎหมายที่พ่ายกฎหมู่ ส่วนในมุมของการพัฒนากระบวนสืบสวน พิพากษา คดีนี้ยังมีอีกหลายฝ่ายที่ควรโดนตรวจสอบ ลงโทษ แต่กลับรอดไป
 
และในมุมของคุณชายรอง เขาไม่มีโอกาสได้แก้ต่างเลยว่า ในคืนนั้นการฆาตกรรมเกิดจากการกระทำเกินกว่าเหตุ เกิดจากความวู่วาม หรือเกิดจากการต่อสู้ตอบโต้ ซึ่งเราจะได้รู้ก็ต่อเมื่อคุณชายรองได้ก้าวเข้าสู่ระบบสอบสวน และกระบวนการยุติธรรมที่ทำงานได้ตามที่ควรจะเป็นกระแสสังคมจึงเป็นส่วนหนึ่งของความยุติธรรม แต่อย่าได้เข้าใจผิดว่าข้อเรียกร้องของสังคมได้กลายเป็นตัวความยุติธรรมเสียเอง กระบวนการยุติธรรมก็เช่นกัน มันเป็นเพียงแค่ตัวเชื่อมระหว่างข้อเรียกร้องของสังคมกับความยุติธรรม หาใช่ตัวความยุติธรรมในตัวเองไม่ ข้อเรียกร้องของสังคมจะถูกแปรรูปให้เป็นความยุติธรรมได้ จึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและออกแบบกระบวนการอย่างรัดกุมและสมบูรณ์
 
เพราะต่อหน้าฝูงชน ทุกปัญหาต้องถูกลดรูปให้ง่ายเข้าไว้ ฝูงชนจึงจะเข้าใจ และจุดกระแสขึ้นมาได้ กระแสเรียกร้องของผู้คนอาจขับเคลื่อนด้วยปัจจัยซับซ้อน แต่ข้อเรียกร้องของฝูงชนไม่เคยซับซ้อนได้เลย ทางเลือกของฝูงชนต้องง่าย ไม่ซ้ายหรือขวา ก็ดีหรือเลว ตายหรือไม่ก็รอด คำอธิบาย เหตุผล ความซับซ้อนของเหตุการณ์ และสิทธิของคนอย่างคุณชายรอง ย่อมไม่เคยส่งเสียงดังพอต่อหน้าฝูงชน แล้วต่อหน้าฝูงชนจะเกิดความยุติธรรมได้อย่างไร
 
เพียงภาพศพของคุณชายรองที่ตายจากการถูกรัดคอโดยตำรวจการคลังบนหน้าหนังสือพิมพ์ จึงกลายเป็นคำตอบของคดีอันบานปลายซับซ้อนได้ โดยฝูงชนไม่ตะขิดตะขวงใจ หรือแม้จะมีคนตะขิดตะขวงใจ แต่ก็ไม่เคยปลุกกระแสขึ้นมาได้ เท่ากับการเรียกร้องที่เรียบง่ายที่ขอแค่ให้ฆาตกรจบชีวิตลง
 
แม้คุณชายรองตระกูลสวีจะมีชีวิตเสเพลและทำผิดขนาดไหน แต่จุดจบเช่นนี้ก็ยังนับว่ารันทดเกินไปที่จะเรียกว่ายุติธรรม ไม่ว่ามองในมุมของฆาตกร หรือมองในมุมของสังคมก็ตาม

ข่าวล่าสุด

เจาะรายละเอียด อย.ปลดล็อก ยา ‘ATMP’ ตามความเสี่ยง 3 ระดับ!