โรแบต์ เดอโลเนย์ เจ้าพ่อศิลปะออร์ฟิสม์
ณ พิพิธภัณฑ์หอศิลป์ซูริค กำลังจัดแสดงนิทรรศการ Robert Delaunay and The City of Lights ผลงานของ โรแบต์ เดอโลเนย์
โดย ปณิฏา
ณ พิพิธภัณฑ์หอศิลป์ซูริค กำลังจัดแสดงนิทรรศการ Robert Delaunay and The City of Lights ผลงานของ โรแบต์ เดอโลเนย์ จิตรกรชาวฝรั่งเศส (มีชีวิตระหว่างปี 1885-1941) โดยคัดสรรภาพวาดแนวออร์ฟิสม์ (Orphism) หรือออร์ฟิก คิวบิสม์ (Orphic Cubism) ที่วาดในธีมสีสันของเมือง โดยเฉพาะอย่างภาพวาดเกี่ยวกับกรุงปารีสและชีวิตร่วมสมัย (ขณะนั้น)
โรแบต์ เดอโลเนย์ นับเป็นจิตรกรผู้บุกเบิกในด้านการใช้สีสัน มาแสดงความเคลื่อนไหว พลังงาน เทคโนโลยี การกีฬาในภาพวาดของพวกเขา ซึ่งบางทีก็เรียกว่าเป็น Rhythm Art โดยสิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนของความทันสมัยและสิ่งใหม่ในยุคโมเดิร์นแห่งวงการศิลปะโลก
สำหรับโรแบต์ เขาพัฒนาตัวเองขึ้นมาจากศิลปะวิภาคนิยม (Divisionism) หรือศิลปินในกลุ่มอิมเพรสชันนิสม์ใหม่ ที่นำโดย จอร์จ-ปิแอร์ เซอราต์ ที่สร้างสรรค์ศิลปะด้วยการใช้จุดสี ก่อนที่จะหันมาวาดภาพพอร์เทรตสไตล์โฟวิสม์ ซึ่งนำเอาความเป็นเรียลิสม์มาเติมความโมเดิร์นเข้าไป ด้วยการใส่สีสันสุดแสบลงบนภาพวาดเหมือนบุคคล แล้วในที่สุดก็มาถึงจุดพีก กับผลงานที่แสดงตัวตนความเป็นออร์ฟิสม์ของเขา ในซีรี่ส์ Rhythms without End ซึ่งเป็นซีรี่ส์วาดประดับในงานเวิลด์แฟร์ ที่จัดในกรุงปารีส ปี 1937
ภาพเขียนซึ่งกอปรขึ้นด้วยสีสันที่ตัดกันอย่างรุนแรง วงกลมหลากหลายขนาด แสดงออกถึงความเคลื่อนไหว และท่วงทำนองต่างๆ บ้างก็เรียกว่าเป็นสัญลักษณ์แนวอวกาศ อันเป็น “ซิกเนเจอร์” ของโรแบต์ เดอโลเนย์ ซึ่งปรากฏทั้งในภาพวาดและกระจกสีประดับหน้าต่างโบสถ์คริสต์จากยุคกอธิก อย่างโบสถ์แซงต์เซเวอแร็งในจัตุรัสลาติน
ผลงานในยุครุ่งเรืองที่โดดเด่นอีกแบบ ก็คือ การวาดภาพของหอไอเฟล รูปแบบต่างๆ ซึ่งมีทั้งการเล่นกับสีสัน และรูปทรง นอกจากนี้ ยังมีภาพวาดที่เกี่ยวเนื่องกับ “ความทันสมัย” แห่งยุคอีกมากมาย ทั้งภาพเครื่องบิน ภาพหน้าต่าง และแสงสีแห่งกรุงปารีส ที่ออกมาเป็นภาพที่เล่นกับความหักเหของแสง (Prismatic) อันเป็นเทคนิคที่ฝึกฝนมาจากยุควิภาคนิยม หรืออิมเพรสชันนิสม์ใหม่ ที่มักจะนำเอามุมมองทางวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้ในงานศิลปะ
โรแบต์เป็นบุตรชายของ จอร์จ เดอโลเนย์ และเคาน์เตส เบคท์ เฟลิซี เดอ โรส หลังจากที่พ่อแม่แยกทางกัน เขาก็เติบโตขึ้นมาในครอบครัวของน้ามารีและสามี ชาร์ลส์ ดามูร์ และเมื่อเขาบอกว่าอยากจะเป็นจิตรกร น้าเขยก็ไม่รอช้า ส่งเขาเข้าไปเรียนในโรงเรียนศิลปะที่แบลวิล กรุงปารีส ในทันที พออายุ 19โรแบต์ก็เริ่มยึดอาชีพศิลปินเต็มตัว
เขาเริ่มสนิทสนมกับเพื่อนศิลปิน อย่าง ชอง เม็ตซินเยร์ และต่างร่วมพัฒนาศิลปะในยุคอิมเพรสชันนิสม์ใหม่ขึ้นด้วยกัน จากเจ้าตำรับ จอร์จ-ปิแอร์ เซอราต์ ที่มักใช้จุดเล็กๆ กอปรขึ้นเป็นภาพอันน่าประทับใจ หาก 2 จิตรกรหนุ่มไฟแรง ทดลองอาศัยจุดแต้มที่ใหญ่ขึ้น แถมเปลี่ยนจากจุดทรงกลมมาเป็นบล็อกสี่เหลียม สร้างให้เกิดผลที่แตกต่างขึ้นในงานศิลปะ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ศิลป์ยอมรับว่า เป็นการยกระดับศิลปะแนวอิมเพรสชันนิสม์ใหม่ขึ้นมาอีกขั้น โดยเฉพาะการเลือกใช้สีสันที่ตัดกันอย่างรุนแรง และบล็อกสี่เหลี่ยมที่คล้ายโมเสก ก็เหมือนเป็นการสร้างเอฟเฟกต์แสงให้เกิดขึ้นในภาพ
สุดยอดผลงานของ โรแบต์ เดอโลเนย์ที่ห้ามพลาดชื่นชม มีตั้งแต่ Saint-Severin series (1909-1910) City series (1909-1911) Eiffel Tower series (1909-1912) City of Paris series (1911-1912) Window series (1912-1914) Cardiff Team series (1913) Circular Forms series (1913) และ The First Disk (1913) ซึ่งล้วนแต่คลี่คลายกลายเป็นภาพในสไตล์ออร์ฟิสม์อย่างสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ
แรงบันดาลใจในภาพออร์ฟิสม์ของเขาก็มาจากหลักการทางวิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับเทคนิคทางศิลปะ โดยเขาเชื่อว่า แต่ละสีสันนั้นมีพลังในแบบของตัวเอง เมื่อผนวกเข้ากับรูปทรงต่างๆ ก็จะไม่เพียงทำปฏิกิริยากันในภาพเอง แต่ต่อการรับรู้ของผู้ชมงานศิลปะด้วยแล้วเขาก็ยังเชื่อว่า การปะทะสังสรรค์ของสี (ในความตัดกันยังมีความเข้ากันได้) จะทำให้เกิดความเคลื่อนไหว ซึ่งไม่แตกต่างจากการเคลื่อนไหวในธรรมชาติ


