posttoday

พชร อนันตศิลป์ อธิบดีสายบู๊และบุ๋น

26 สิงหาคม 2561

ขึ้นแท่นอธิบดีคนหนุ่มในสังกัดกระทรวงการคลังอีกคนหนึ่ง เพราะ พชร อนันตศิลป์

โดย กนกวรรณ บุญประเสริฐ  

ขึ้นแท่นอธิบดีคนหนุ่มในสังกัดกระทรวงการคลังอีกคนหนึ่ง เพราะ พชร อนันตศิลป์ ปัจจุบันอายุเพียง 47 ปี กำลังจะข้ามห้วยจากอธิบดีกรมธนารักษ์ ไปเป็น อธิบดีกรมสรรพสามิตในเดือน ต.ค. 2561 นี้แล้ว

แต่ประสบการณ์ในชีวิตราชการนานกว่า 20 ปี ถือว่าไม่น้อยไม่มาก แต่ผลงานที่ออกมาทำได้ทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น เพราะโชคดีที่ได้เข้ามาเป็นข้าราชการคนหนุ่มจบนอก เลยได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ได้ทำงานสำคัญๆ ในช่วงประวัติศาสตร์เศรษฐกิจนับจากเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ที่เป็นอธิบดีกรมธนารักษ์

ผลงานในช่วง 1 ปีที่เป็นอธิบดีกรมธนารักษ์ เจอแต่งานหนักๆ และสนุก ได้เรียนรู้เรื่องการบริหารทรัพย์สินของรัฐ มาเห็นจุดอ่อนของกฎหมายพีพีพี ที่ต้องการแก้ พ.ร.บ. ที่ราชพัสดุ เพื่อปัดออกจากเรื่องร่วมทุน เพื่อให้การใช้ที่ราชพัสดุจะต้องเช่าเท่านั้น และได้ทำกฎหมายประเมิน และการทำกฎหมายสภาวิชาชีพประเมิน ซึ่งกฎหมายประเมินได้เปลี่ยนโครงสร้างจากเดิมอยู่ที่กรมที่ดิน เลยไปดึงงานให้มาอยู่กรมธนารักษ์ให้หมด เดิมประธานและเลขาอยู่ที่มหาดไทย เลยดึงมาไว้ที่กรมธนารักษ์ ให้ประธานและเลขาคณะกรรมการเป็นของกรมธนารักษ์ ทำให้การทำงานถูกฝาถูกตัวมากขึ้น ขณะที่เรื่องการประเมินรายแปลงเราทำงานครบ 32 ล้านแปลงทั่วประเทศแล้ว

ด้านงานที่ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ก็มีงานที่ท้าทายอย่างเรื่อง หอชมเมือง กับ โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ พหลโยธินซอย 11 ซึ่งในส่วนตัวมองว่าเรื่องหอชมเมืองเป็นเรื่องที่ดีมากเพราะรัฐได้ประโยชน์มาก เพราะเป็นที่ตาบอด เปิดประมูลไม่มีคนมาเช่า อันนี้ยังไปชวนเอกชนมาลงทุนได้ตั้ง 4,000 ล้านบาท และรัฐยังได้ค่าเช่าเดือนเป็นแสน ดีกว่าปล่อยให้เช่าทำที่จอดรถได้เดือนเป็นหมื่นเท่านั้น

พชร อนันตศิลป์ อธิบดีสายบู๊และบุ๋น

นอกจากนี้ ยังทำเรื่องการปรับปรุงค่าเช่าที่เชิงพาณิชย์ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้กรมธนารักษ์ปีนี้เป็นครั้งแรกที่แตะ 1 หมื่นล้านบาท เป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกของกรม

พชร เล่าย้อนไปสมัยวัยหนุ่ม เพิ่งเรียนหนังสือจบจาก Master of Business Administration (MBA), Shenandoah University, USA เมื่อปี 2538 ไม่เคยคิดจะมารับราชการ แต่พอกลับมาถึงบ้านได้แค่ 2 วัน ทางบ้านก็สนับสนุนให้เข้ามาทำงานที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เป็น
นักวิชาการคลัง เทียบระดับชั้น ซี 4 รับเงินเดือนครั้งแรกจำได้แม่นว่า ได้เงินเดือนเดือนละ 7,780 บาท มาอยู่ สคร. ช่วงแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เข้ามาดิวกับเอกชนโดยตลอดเพราะเกี่ยวกับการขายหุ้น การเพิ่มทุนแล้วไม่นานก็เจอค่าเงินบาทลอยตัว วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ซึ่งตอนนั้นกระทรวงการคลังได้จัดทีมเข้าไปเจรจากับ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ พอดี ก็ได้ถูกเรียกตัวให้เข้าไปเป็นหนึ่งในทีมที่ทำงานเรื่องหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 2 (Letter of Intent หรือแอลโอไอ)

เพราะตอนฉบับที่ 1 เป็นเหมือนการคุยแบบท็อปดาว คือการคุยกับระดับบน พอมาในฉบับที่ 2 จึงเป็นการเจรจาระดับเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับแต่ละส่วนงาน ซึ่งตอนนั้นมี อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม เป็นหัวหน้าทีม ตอนนั้นยังเป็นผู้อำนวยการส่วน

ส่วนผมขึ้นตรงกับ กุลิศ สมบัติศิริ ซึ่งในขณะนั้นยังเป็น ผู้อำนวยการส่วนแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ทำงานกัน 3-4 คน ซึ่งรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานนี้ เพราะถ้ายังจำกันได้ LOI ฉบับที่1 ฉบับแรก เราถูกไอเอ็มเอฟสั่งให้ขายนู่นขายนี่เยอะแยะไปหมด แต่พอมาเข้าสู่ LOI ฉบับที่ 2 กลายเป็นว่าให้กลับมาศึกษารายละเอียดข้อมูลใหม่ ข้อผูกมัดทั้งหลายได้รับความผ่อนคลาย ซึ่งเบื้องหลังก็ใช้กลยุทธ์ในการเจรจาแบบสไตล์ฝรั่ง ใครรับผิดชอบอะไรก็จะรับผิดชอบเต็ม เราเลยพยายามเจาะเข้าไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ให้รู้รายละเอียด จนอธิบายให้เขาผ่อนคลายเงื่อนไขลงได้

อยู่ สคร.มา 2 ปี ก็จะขอโอนชื่อไปสรรพสามิต แต่ก็พลาดโอกาสนี้ เพราะเป็นช่วงที่พอดีกับที่ วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ มารับตำแหน่งอธิบดีกรมบัญชีกลาง ซึ่งก่อนหน้านั้นสมัยที่ วิสุทธิ์ ยังเป็นรองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ได้เคยไปช่วยงานท่าน เพราะสมัยนั้นทั้งสำนักงานมีคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวคือของผมที่ติดตัวมา ก็ได้ถูกเรียกเข้าไปช่วยงานทำเอ็กเซล ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่ค่อยมีใครเก่งเรื่องเอ็กเซลมากนัก

สุดท้ายท่านวิสุทธิ์ขอให้มาช่วยงานก่อน ก็ได้เป็นนักวิชาการคลัง ทำเรื่องบริหารหนี้การคลัง ทำเรื่องเงินคงคลัง ขึ้นเป็นซี 5 ได้เรียนรู้ประสบการณ์เรื่องการบริหารเงินคงคลังสมัยก่อนกระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลางทำหน้าที่เหมือนแบงก์ชาติ ทุกสิ้นวันแบงก์พาณิชย์จะต้องเอาเงินมาฝากที่สำนักงานคลัง หน้าที่เราคือต้องเอาเงินสดแต่ละจังหวัดมาดู

ผมก็เหมือนคนบ้าบอ เข้ามา 3 เดือนแรกทั้งฝ่ายมี 10 กว่าคน ทำงานนั่งบวกเลขทั้งวันทุกวัน ก็สงสัยมาบวกเลขทำไมทุกวัน ก็เลยไปสร้างสูตรบริหารเงินคงคลังในเอ็กเซล ปรากฏว่า งานที่คน 10 คนต้องทำทั้งวัน กับทำแค่คนเดียวก็เสร็จแล้วและจากที่เคยต้องใช้เวลาทั้งวัน ก็เหลือทำแค่กรอกข้อมูลไม่ถึงชั่วโมงเดียวก็เสร็จแล้ว

พชร อนันตศิลป์ อธิบดีสายบู๊และบุ๋น

จากทำสูตรเอ็กเซลคำนวณเงินคงคลังแล้ว ยังสามารถเก็บฐานข้อมูลในการดูแนวโน้มเงินคงคลัง ที่จะเห็นเงินคงคลังในแต่ละช่วงว่าช่วงไหนจะมากหรือน้อย เช่น ในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. ซึ่งเป็นช่วงก่อนภาษีจะเข้า เงินคงคลังจะต่ำสุดแล้วจะขึ้นๆ แล้วมาต่ำสุดช่วงท้ายปีงบประมาณ

สมัยก่อนเงินคงคลังเคยเหลือแค่หมื่นกว่าล้านบาทก็เคยมาแล้ว ตอนนั้นเงินสดเหลือไม่ถึงพันล้านบาทที่เหลือเป็นเงินนอกงบประมาณ ซึ่งเงินนอกงบประมาณเงินที่ส่วนราชการฝากไว้รอตั้งเบิกจ่าย

ต่อมาในช่วงปี 2542 เป็นช่วงรัฐบาลทักษิณ 1 เป็นช่วงที่ปฏิรูประบบงบประมาณ ผมยังอยู่ที่กรมบัญชีกลาง ได้รับมอบหมายให้วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ ให้มาประชุมกับสำนักงบประมาณ คุยกับเรื่องงบประมาณ งานตอนนั้นเหมือนเป็น “หัวหมู่ทะลวงฟัน” ที่ถูกส่งไปลุยเรื่องการลดขั้นตอนเบิกจ่ายงบประมาณให้เกิดความคล่องตัว เช่น งบเงินเดือน ไม่ต้องวางงวดให้เบิกได้เลยเพราะเป็นงบประจำ และมาดูเรื่องจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเดิมใช้ระเบียบเบิกจ่ายพัสดุขึ้นตรงกับสำนักนายกฯ แล้ว

เรื่องนี้ก็โอนมาที่กรมบัญชีกลาง แล้วก็ได้มอบหมายให้ทำเรื่องนี้พอดี ซึ่งรัฐบาลทักษิณต้องการให้มาทำเรื่องจัดซื้อจัดจ้าง และให้เริ่มเรื่องการประมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแก้ไขเรื่องระเบียบการเบิกจ่ายให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตอนนั้นได้ขึ้นเป็น ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานระบบพัสดุภาครัฐ กรมบัญชีกลาง ได้เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ได้เอาระบบอี-ออกชั่นเข้ามาแล้วใส่ไปในระเบียบสำนักงานนายกฯ ซึ่งตอนนั้นคิดว่าการเอาอี-ออกชั่นมาใช้ในห้วงเวลาหนึ่งเพื่อรอการยกเลิกระเบียบพัสดุ และเอาอี-ออกชั่นมาใช้กับการประมูลใหญ่ๆ แต่พอทำมาได้ช่วงหนึ่งก็ถูกย้ายมาทำเรื่องเอฟทีเอ ก็ถูกส่งตัวไปเจรจาเอฟทีเอ เพราะมีเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ตอนนั้นจำได้ว่าบินทั่วโลก เดินทางตลอด

การทำเอฟทีเอทำให้ได้ความรู้เพิ่มเติมเรื่องระบบงานภาครัฐเรามีจุดบกพร่องตรงไหน เพราะเมื่อเราได้คุยเรื่องอี-โปรเคียวเมนต์ ทำให้รู้กระบวนการตั้งงบประมาณของประเทศ และการจ่ายเงินของประเทศเป็นอย่างไร ทำให้ระบบการจ่ายเงินของแต่ละประเทศ ปัญหาและอุปสรรคอยู่ตรงไหน ถือว่าเป็นช่วงที่สนุกมากกับการทำงาน 2-3 ปีช่วงนั้น

หลังจากนั้น ช่วงปี 2553 ได้ย้ายมาเป็น ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกลาง เป็นงานที่สนุกมากเพราะต้องทำหน้าที่เหมือนสภาพัฒน์ เพราะต้องวางแผน เป็น สคร. ในตัวชี้วัด และต้องเป็นเหมือนสำนักงบประมาณเพราะต้องทำเรื่องงบประมาณ และต้องทำการเบิกจ่าย เหมือนกรมบัญชีกลาง และได้ทำกฎหมายกองทุนหมุนเวียน และทำกฎหมายอีกหลายตัว

ต่อมาได้ขึ้นเป็นผู้อำนวยการกองกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณกรมบัญชีกลาง ในปี 2557 ถือเป็นงานที่ประทับใจที่สุดผลงานที่ประทับใจคือการแก้ร่างกฎหมาย กยศ. ให้สามารถฟ้องร้องทวงหนี้ สมัยก่อน กยศ.ปล่อยกู้ปีละ 7-8 หมื่นล้านบาท แต่เก็บหนี้คืนได้ปีละหลักพันล้านบาท วันนี้จะเห็นว่าสิ่งที่ผมเคยริเริ่มทำโมเดล กยศ. มาตั้งเป้าหมายว่าภายใน 20 ปี จะไม่ต้องพึ่งพางบประมาณอีกต่อไปแล้ว จะเห็นว่าเรื่อง กยศ.สมัยก่อนเป็นเรื่องของการเมืองด้วย นักการเมืองเวลาหาเสียงก็ไปพูดผิดๆ ถูกๆ มาวันนี้เรื่อง กยศ.ถือว่าดีขึ้นมากแล้วอยู่เงินนอกงบประมาณมา5-6 ปี

สุดท้ายได้ขึ้นเป็นรองอธิบดีกรมบัญชีกลางเมื่อปี 2558 ในสมัย มนัส แจ่มเวหา เป็นอธิบดี ก็เป็นช่วงพอดีกับรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งสมัยรัฐบาลทักษิณ 1 ผมเคยเป็นหน้าห้องท่านสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สมัยที่เป็น รมว.คลัง และพอท่านมาเป็นรองนายกฯ ก็โทรมาบอกให้ไปช่วยงานท่านหน่อย ก็ได้ไปช่วยงานท่านแป๊บหนึ่งก็ได้เป็นที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลังและได้เป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน ดูบัญชีกลาง และสำนักบริหารหนี้สาธารณะ หรือ สบน. เมื่อปี2559 เป็นรองปลัดได้ปีเศษๆ ก็ได้มาเป็นอธิบดีกรมธนารักษ์

มาถึงวันนี้ พชรกำลังเตรียมตัวข้ามไปสู่การเป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต โดยสิ่งที่จะเน้นเป็นเรื่องแรกคืองานป้องปรามที่จะทำให้มีประสิทธิภาพและมีความยุติธรรมมากขึ้น ตอนนี้เริ่มทำงานล่วงหน้า และได้เชิญเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือแล้ว สิ่งที่จะเข้าไปทำงานอย่างแรกคือการเสริมความเข้มแข็งของหน่วยงานที่ใช้กำลังด้านการปราบปราม และเตรียมจะเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตตามเป้าหมายของรัฐบาลต่อไป

ข่าวล่าสุด

งานเข้า! EU สอบสวน Google ข้อหาผูกขาดเนื้อหาให้กับ AI ของบริษัท