posttoday

กำแพงเมืองจีนไม่ใช่ (แค่) กำแพง

19 สิงหาคม 2561

ทุกวันนี้กำแพงเมืองจีน คือ สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง เป็นสิ่งก่อสร้างมหึมาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เป็นตัวแทนและแสดงถึงพลังของชนชาติจีน

ทุกวันนี้กำแพงเมืองจีน คือ สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง เป็นสิ่งก่อสร้างมหึมาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เป็นตัวแทนและแสดงถึงพลังของชนชาติจีน

“มาไม่ถึงกำแพงเมืองจีน ไม่ใช่ชายชาตรี” เหมาเจ๋อตงว่าไว้

มีนักวิชาการฝรั่ง และญี่ปุ่น สรุปว่า ที่จริงแล้วกำแพงเมืองจีนมีประโยชน์ด้านการเมืองและวัฒนธรรมมากกว่าด้านการทหาร บ้างก็ว่ามันเป็นสัญลักษณ์แสดงจิตวิญญาณของชนชาติจีน ที่ชอบล้อมรั้วอยู่ข้างใน ไม่ชอบออกไปโจมตีใครเขา

กำแพงเมืองจีนมีหน้าที่เป็นรั้วแน่ มันกั้นไม่ให้ศัตรูเข้ามา และแสดงเจตนาว่าจีนไม่อยากจะตั้งรกรากออกไป บ้านใครบ้านมัน

แต่มันยังมีหน้าที่มากกว่านั้น กำแพงเมืองจีนมีหอสัญญาณไฟเรียงรายตลอดแนว มันจึงเป็นระบบส่งสัญญาณป้องกันชายแดน เมื่อพลประจำการเห็นอันตราย ย่อมสามารถส่งสัญญาณได้ “ทันควัน”

เป็นที่รู้กันว่าก่อนยุคโทรเลข ควันและไฟ คือ เครื่องมือแจ้งข่าว นอกจากใช้ส่งสัญญาณ ยังช่วยอำนวยให้กองกำลังเดินทางไปแก้ไขสถานการณ์

บนกำแพงเมืองจีนเป็นเส้นทางปูด้วยอิฐเรียบต่อเนื่อง ด้วยความกว้างเฉลี่ย 5-8 เมตร กองทหารเพียงมุ่งสู่กำแพงเมืองจีนที่ใกล้ที่สุด แล้วใช้มันเป็นทางด่วนได้สบาย

ถ้าเป็นไปได้กำแพงเมืองจีนจะถูกเลือกสร้างอยู่ตามยอดเขาและพื้นที่สูงชันเข้าถึงยากลำบาก นั่นไม่ใช่เพราะต้องการทรมานแรงงานทาส แต่เป็นเพราะต้องสร้างในจุดที่สอดส่องศัตรูได้แต่ไกล เข้าโจมตียาก ทัพจีนไม่ว่าจะเดินเท้าหรือขี่ม้าอยู่บนกำแพง ย่อมได้เปรียบกว่าผู้รุกรานที่อยู่ด้านล่างแน่นอน จึงเป็นระบบป้องกันที่ทำงานได้แม้ไม่ต้องวางกำลังป้องกันตลอดแนว

ด้วยระบบการป้องกันเช่นนี้ ทำให้ความกดดันบริเวณชายแดนจีนลดลง และยังช่วยลดต้นทุนการป้องกันประเทศ

ในประวัติศาสตร์จีน มีราชวงศ์ชิงและราชวงศ์ถัง ที่ไม่ให้ความสำคัญในการซ่อมสร้างกำแพงเมืองจีนราชวงศ์ชิงเป็นกรณีพิเศษ เป็นเพราะชาวแมนจูผู้ก่อตั้งราชวงศ์เป็นชนเผ่านอกด่าน ไม่ว่าฝั่งนอกหรือในกำแพง ล้วนแต่เป็นดินแดนของราชวงศ์ชิง

ส่วนผลจากการที่ราชวงศ์ถังไม่ให้ความสำคัญ ทำให้ต้องใช้กองทหารจำนวนมากรักษาจุดสำคัญตามชายแดน เมื่อทหารจีนมีไม่พอ ก็ต้องใช้ชนเผ่านอกด่านมาเป็นกำลังเสริม

ความไม่มั่นคงจึงซ่อนตัวอยู่ กว่าจะรู้อีกที กบฏที่มีชนเผ่านอกด่านเป็นแกนนำก็พลิกแผ่นดินได้ฉับพลันจนแทบล่มราชวงศ์ถังลงได้ (กบฏอันลู่ซาน)

ในราชวงศ์ซ่งใต้ซึ่งดินแดนกระจุกอยู่ทางใต้ไม่ครอบคลุมถึงกำแพงเมืองจีน ทำให้ต้องเลี้ยงกองกำลังทหารไว้มากมาย ซึ่งผลาญงบประมาณราชสำนักไม่ใช่น้อย โดยไม่สามารถสร้างความมั่นคงทางชายแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กำแพงเมืองจีนมิได้มีประโยชน์เพียงด้านการป้องกัน แต่ยังช่วยเรื่องการโจมตี

กำแพงเมืองจีนสามารถใช้เป็นแนวตั้งหลัก จะออกรบกับชนเผ่านอกด่าน ก็ไม่จำเป็นต้องเดินทัพง้างมาจากในประเทศ รบแพ้จะถอยร่นก็มีแนวรับ อย่างไรเสียแนวหลังกำแพงเมืองจีนก็ยังปลอดภัย

ด้านชนเผ่านอกด่านย่อมไม่กล้าเคลื่อนไหวใกล้ ต้องตั้งหลักไกลออกไปหลายร้อยลี้

สงครามระหว่างจีนกับชนเผ่านอกด่านสมัยฉิน ใช้ยุทธวิธีตั้งกองกำลังไว้ใกล้กำแพงเมืองจีน แล้วค่อยส่งกำลังออกโจมตี ถ้าชนะก็รุกต่อ ถ้าแพ้ก็ถอยเข้ามาด้านใน บันทึกประวัติศาสตร์บันทึกชัยชนะไว้ทีไร จะบอกว่าพวกป่าเถื่อนต้องถอยไปไกลกำแพงกว่า 700 ลี้ (350 กิโลเมตร)

ฉะนั้นที่ว่ากำแพงยาวมาก ผู้รุกรานจึงหาจุดอ่อนได้ง่าย มองกลับกัน เมื่อจีนต้องการโจมตี ก็เพราะมันยาวและเป็นปราการที่ฝั่งจีนเลือกใช้ได้ จึงสร้างจุดแข็ง อำนวยความสะดวกได้ดีเช่นกัน

ที่สำคัญ กำแพงเมืองจีนมิใช่รั้วบ้าน วิธีคิดที่ว่า พอกำแพงเมืองจีนด่านใดด่านหนึ่งถูกตีแตก กำแพงเมืองจีนทั้งเส้นก็ไร้ความหมาย เป็นอีกวิธีคิดที่ผิดประเด็น

เพราะแม้ผู้รุกรานจะทะลุด่านมาได้ แต่หากระบบการป้องกันยังไม่ถูกทำลาย กำแพงก็จะกลายเป็นเครื่องมือโอบล้อมแนวหลังผู้รุกราน

ฉะนั้นถ้ายังยึดไม่ได้ จะอยู่นานก็อันตราย ทำได้ก็แต่ปล้นสะดมแล้วถอยหนี

หากจุดที่แหกด่านเข้ามา โดนปิดกั้น ก็เท่ากับถูกล้อมจับ จะฝ่าด่านอื่นกลับ ก็เสียแรงและต้องหาข่าววางแผนเพิ่มขึ้น เข้าง่ายแต่ออกไม่ง่าย

ตัวอย่างมีอยู่ ซึ่งก็คือหวงไท่จี๋-ผู้นำชาวแมนจูที่ต้นบทความบอกว่าเขานำทัพข้ามกำแพงเมืองจีนถึง 6 ครั้ง

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อหวงไท่จี๋ตีด่านซานไห่กวาน (ด่านกำแพงเมืองจีนด่านสำคัญที่ป้องกันการยกทัพประชิดปักกิ่ง-เมืองหลวงราชวงศ์หมิง) ไม่แตก เขาเสาะหาทางอ้อมไปตีจุดอื่นในแนวกำแพงเมืองจีน แล้วก็เจอจุดอ่อนจนได้

แต่หวงไท่จี๋ข้ามแนวกำแพงถึง 6 ครั้ง ไม่ว่าจะนำกองกำลังมามากเท่าใด ก็ทำได้แค่ปล้นสะดม ไม่สามารถยึดอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน

ครั้งที่ 1 ฝ่ายหมิงไม่ทันตั้งตัว ทัพหวงไท่จี๋เข้าประชิดปักกิ่งได้ แต่ก็ได้แค่รบเสมอ สามครั้งต่อมาทำได้เพียงปล้นสะดม พอครั้งที่ 5 ระหว่างยกทัพกลับ ถูกกองทัพจีนซุ่มโจมตีเสียหายหนัก แม่ทัพหลักตายไปหลายคน เมื่อหวงไท่จี๋ถอยทัพกลับเสิ่นหยาง-เมืองหลวงของชนเผ่าแมนจูในครั้งที่ 6 บันทึกประวัติศาสตร์ว่าไว้ “เสียงร่ำไห้ดังระงมทั่วทุกบ้าน” (สูญเสียไพร่พลมากมาย)

หวงไท่จี๋ยืนยันได้ว่ากำแพงเมืองจีนไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมหรือสิ่งก่อสร้างที่บ่งบอกจิตวิญญาณลึกซึ้ง

กำแพงเมืองจีนจึงไม่ใช่แค่กำแพงหรือรั้วตามชื่อและรูปลักษณ์ แต่เป็นระบบการป้องกันที่ต้องครุ่นคิดถึงสถานการณ์ จึงมองเห็นประโยชน์ครอบคลุม

ของที่คนในอดีตขวนขวายซ่อมสร้างใช้ต้นทุนไปมากมายมาต่อเนื่องสองพันปี จะมีหน้าที่เพียงแค่การเมือง การท่องเที่ยว หรือมีไว้สื่อเพียงจิตวิญญาณได้อย่างไร

เช่นหลายสิ่งในทุกวันนี้ที่ถูกพิพากษาว่า ร้าย เลว ไร้ประโยชน์ อย่างง่ายดาย ซึ่งมักเป็นเพียงเพราะยังไม่ได้คิดถึงปัจจัยและสถานการณ์รอบด้านพอ

เพราะไม่ว่าเราจะฉลาดเพียงไร โลกนี้ก็ยังมีมุมที่เรายังมองไม่เห็น ไม่ว่าเราจะคิดว่าเราถูกต้องขนาดไหน การพิพากษาจึงยังต้องระมัดระวัง

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส” เผย 25 ธ.ค.นี้ กล้าธรรมเปิดตัวสส.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์