‘จำรัส ลิ้มตระกูล’ ภารกิจปั้นนักวิทย์รุ่นใหม่
ในยุคที่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต้องสู้กันด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี ทำให้นักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความสำคัญ
โดย ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล
ในยุคที่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต้องสู้กันด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี ทำให้นักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความสำคัญ หากจะให้ประเทศไทยก้าวไปสู่การพัฒนาแบบก้าวกระโดด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกระดับประเทศจากผู้ซื้อเทคโนโลยีมาเป็นผู้สร้างนวัตกรรม เหตุนี้สถาบันวิทยสิริเมธี (Vistec) จึงให้ความสำคัญกับการศึกษา เพื่อพัฒนาบุคลากร
ศ.ดร.จำรัส ลิ้มตระกูล นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นปี 2546 และอีกหมวก คือ อธิการบดีสถาบันวิทยสิริเมธี (Vistec) ผู้ทำหน้าที่ปั้นบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยให้มีคุณภาพระดับโลก นอกจากจะช่วยพัฒนางานวิจัยนวัตกรรมใหม่ๆ ให้ประเทศแล้ว อีกส่วนหนึ่งยังผลิตบุคลากรออกมาเพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0
“จุดเริ่มต้นของการเป็นนักวิทยาศาสตร์มาจากพื้นฐานตอนเด็กๆ ที่เป็นคนชอบคณิตศาสตร์และเป็นคนชอบอ่านหนังสือ อ่านได้ทุกประเภท และที่สำคัญมีบุคลิกหนึ่งของการเป็นนักวิทยาศาสตร์ คือ การสนใจอะไรแบบลุ่มหลงแล้วสนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เหมือนกับวิทยาศาสตร์ที่ได้เรียนรู้และทดลองหาสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ยิ่งสิ่งที่ค้นพบเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครเจอก็จะยิ่งรู้สึกภูมิใจ และยิ่งได้เห็นผลงานตัวเองตีพิมพ์ในวารสารระดับโลกยิ่งภูมิใจ” ศ.ดร.จำรัส เล่าถึงเส้นทางของการเป็นนักวิทยาศาสตร์
ศ.ดร.จำรัส เป็นนักวิจัย เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีบุคลิกของอาจารย์อย่างเต็มตัว ต่างจากบุคลิกของนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ในภาพจำของหลายๆ คนที่ว่าต้องเคร่งขรึมและเก็บตัวอยู่แต่ในห้องทดลอง บุคลิกภาพการเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่วาดภาพกันไว้นั้น น่าจะเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน เพราะความจริงการเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดี จะต้องมี Sense of Humanด้วย เพราะต้องสื่อสารและนำเสนอผลงานให้คนอื่นเข้าใจ และยิ่งเป็นอาจารย์ด้วยแล้วก็ยิ่งต้องมีเพราะต้องพูดให้คนสนใจที่จะเรียนด้วย
ศ.ดร.จำรัส บอกอีกว่า ส่วนตัวแล้วมองว่าการเป็นนักวิทยาศาสตร์หรืออาจารย์ก็เป็นอีกอาชีพที่ไม่น่าเบื่อ เพราะเป็นอาชีพที่ได้เจอสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอด ไม่ว่าจะงานวิจัย หรือการเจอนักศึกษาแต่ละรุ่นแต่ละปีที่ไม่ซ้ำกัน แต่ก่อนสมัยที่สอนอยู่ผมจะจำชื่อนักศึกษาได้ทั้งหมด เพราะจะทำให้เด็กรู้สึกดีว่า อาจารย์ใส่ใจ ทำให้อยากมาเรียนหรือตั้งใจเรียนขึ้น จึงไม่แปลกที่จะเห็นเด็กนักศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและเอกเดินเข้ามาหา มาคุยเล่นหรือปรึกษาในห้องอยู่บ่อยๆ แต่หลังๆ ก็เริ่มกลับมานั่งคิดว่า การที่เราคิดว่าเด็กๆ ทุกคนเป็นเหมือนลูกหลาน แล้วเราไปคาดหวังกับเขามากเกินไป ก็อาจไม่ดีต่อทั้งตัวเราและตัวเด็กเองจึงไม่ตั้งความคาดหวังไว้สูง
ทั้งนี้ คีย์เวิร์ดของการเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่คิดว่าตรงสุด คือ No Pain No Gain เพราะถ้าไม่ล้มเหลวแล้วลุกขึ้นสู้ใหม่ก็จะไม่เข้มแข็ง ก็เหมือนกับเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนกรุงเทพฯ แรกๆก็หลงทางตลอด จนตอนหลังกลายเป็นผู้รู้เส้นทางสายรถเมล์ดี เพราะวิทยาศาสตร์เป็นการเรียนรู้ และการทำซ้ำๆ เพื่อหาทางใหม่ๆ และวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่สนุกและทำประโยชน์ได้มาก
“แม้ว่าวันนี้ผมจะเลยวัยเกษียณมาแล้ว แต่ยังสนุกกับการทำงาน ยังตื่นเช้ามาแล้วไม่รู้สึกขี้เกียจไปทำงาน และยังตื่นเต้นที่จะได้พบสิ่งใหม่ทุกอาทิตย์ และการได้รับรางวัลต่างๆ ก็ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำมาอยู่ใน Direction ที่ไม่แนวนัก เป็นตัวชี้ว่าเราเดินมาไม่หลงทาง และเป็นแรงบันดาลใจให้ทำต่อไป”
ศ.ดร.จำรัส กล่าว
สำหรับหมวกด้านการบริหารกับการเป็นอธิการบดีสถาบันวิทยสิริเมธี (Vistec) ยอมรับว่า ยากกว่าการเป็นแค่อาจารย์หรือนักวิทยาศาสตร์ เพราะมีความคาดหวังของคนจำนวนมากกว่าที่ฝากความหวังไว้ เพราะสถาบันแห่งนี้มีเป้าหมายผลิตบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับโลก ไม่ใช่แค่ระดับประเทศเท่านั้น ถือเป็นเป้าหมายใหญ่ที่ต้องไปให้ถึง


