'ความเป็นกลาง'ปล่อยวางหรือเอาตัวรอด
การเมืองไทยจะเกิดปัญหาเพราะ “ความเป็นกลาง”
โดย ทวี สุรฤทธิกุล
การเมืองไทยจะเกิดปัญหาเพราะ “ความเป็นกลาง”
เมื่อเร็วๆ นี้ ในการสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้ารับการอบรมในหลักสูตรหนึ่งของสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งผู้เขียนได้เป็นกรรมการร่วมสัมภาษณ์อยู่ด้วยคนหนึ่ง โดยรับผิดชอบในการสัมภาษณ์บุคคลผู้สมัครของภาครัฐ ซึ่งก็คือข้าราชการทั่วไป ทหาร ตำรวจ พนักงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรอิสระ คำถามหนึ่งซึ่งผู้เขียนตั้งประเด็นถามคนเหล่านั้นกว่า 130 คน ก็คือ “ท่านมีความเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปการเมืองของไทยว่าเป็นอย่างไร?”
หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรที่ต้องการคนรุ่นใหม่เข้าไปให้มีบทบาทในการพัฒนาการเมืองการปกครองของประเทศ แต่คำตอบที่ได้รับจากผู้เข้ารับการสัมภาษณ์จำนวนมากเกินกว่าครึ่งก็คือ “ข้าราชการต้องเป็นกลางทางการเมือง ผม/ดิฉัน จึงไม่ขอที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้” หรือบางคนก็เลี่ยงที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา โดยตอบอ้อมไปในประเด็นของการวิจารณ์อดีต โดยที่ไม่แตะต้องการปฏิรูปประเทศของคณะผู้ปกครองที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงไม่มีความคิดเห็นที่จะเสนอแนะและ “ปฏิรูป” การเมืองการปกครองใดๆ ทำให้ผู้เขียนอดที่จะเป็นห่วงอนาคตของประเทศไทยไม่ได้ โดยเฉพาะที่จะหวังพึ่ง “คนรุ่นใหม่” เหล่านี้
ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นผู้สอนวิชาการบริหารบุคลากรภาครัฐ แน่นอนว่าจรรยาบรรณทางวิชาชีพของข้าราชการข้อหนึ่งก็คือ “ความเป็นกลางทางการเมือง” อันหมายถึง “การปฏิบัติตามนโยบายของรัฐ และกฎระเบียบของทางราชการอย่างเคร่งครัด เพื่อมุ่งความสำเร็จของงาน (ราชการ) เป็นสำคัญ (อันหมายถึงประโยชน์สุขและความพึงพอใจของประชาชน) โดยไม่หวั่นไหวต่ออิทธิพลหรือแรงบีบบังคับทางการเมือง” แต่ก็ไม่ได้ห้ามที่จะไม่ให้บุคลากรของรัฐแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หรือแสดงทีท่าที่ปฏิเสธการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่ว่าในรูปแบบใดๆ แต่อย่างใด
ในวิชารัฐศาสตร์ได้จัด “ลำดับต่างๆ ของการมีส่วนร่วม” ไว้ 3 ขั้นตอน ที่เริ่มตั้งแต่ความรู้สึกโน้มเอียงทางการเมือง (Political Alienation) หมายความว่า ทุกคนต้องมีความ “รู้สึกรับรู้” ทางการเมือง เมื่ออยู่ในระบบการเมืองก็ต้องมีความตระหนัก (Recognition) อย่างน้อยก็ต้องรู้สึก “ชอบ” หรือ “ไม่ชอบ” ในปรากฏการณ์ทางการเมืองต่างๆ เช่น การเลือกข้างหรือเลือกพรรค ความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยต่อนโยบายของรัฐบาล เป็นต้น จากนั้นก็เป็นลำดับขั้นของการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง (Political Participation) เป็นต้นว่า การร่วมแสดงความคิดเห็น การเข้าไปเป็นสมาชิกกลุ่ม (กลุ่มสนใจในปัญหาการเมืองการปกครอง) จนถึงเข้าไปเป็นสมาชิกพรรค การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และการปฏิบัติตามกฎหมายต่างๆ สุดท้ายคือเข้าไปแสดงบทบาทในทางการเมืองในทางการเมือง (Political Actors) เช่น ลงรับสมัครรับเลือกตั้ง การรณรงค์ทางการเมือง และเข้าไปมีบทบาทเป็นผู้บริหารประเทศ เป็นต้น
ในทางกฎหมายโดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดสิทธิหน้าที่ต่างๆ ของบุคคล ก็ไม่ได้มีบทบัญญัติที่ว่าไม่ให้ข้าราชการยุ่งเกี่ยวหรือสนใจทางการเมืองแต่อย่างใด ที่รวมถึงการเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคหรือร่วมเคลื่อนไหวในกิจกรรมทางการเมืองทั้งหลายนั้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นในระเบียบการบริหารราชการยังกำหนดให้ข้าราชการต้อง “ปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชน” นั่นก็คือ “ตัวอย่างที่ดีในทางการเมือง” นี้ด้วย แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าข้าราชการทั้งหลาย ไม่เฉพาะแต่ข้าราชการคนรุ่นใหม่เหล่านี้ แต่ข้าราชการจำนวนมากก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร คือไม่ค่อยอยากจะยุ่งเกี่ยวกับการเมือง (แต่ชอบแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองหรือแอบอิงนักการเมือง) อาจจะด้วยเกรงกลัวอำนาจและอิทธิพลของนักการเมือง จึงคิดที่จะวางเฉยเอาตัวรอดด้วยการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเสียเลย
ไม่เฉพาะแต่ข้าราชการใหม่ๆ หรือข้าราชการในตำแหน่งเล็กๆ แต่ข้าราชการใหญ่ๆ ที่อยู่ในระบบราชการมานาน ก็ไม่ใคร่ที่จะ “แสดงตัวตนในทางการเมือง” จึงน่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ข้าราชการทั้งหลายไม่อยากจะแสดงบทบาทอะไรในทางการเมือง ทั้งที่การเมืองของไทยคือการเมืองของข้าราชการ อย่างที่เรียกว่า “อำมาตยาธิปไตย” นี้มาโดยตลอด แต่ข้าราชการทั้งหลายก็ไม่ยอมรับความจริงในข้อนี้ และนี่ถ้าใครไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าสนใจเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด หรือสนับสนุนพรรคการเมืองใด เราก็คงจะเดาคำตอบได้ว่า ท่านก็คงตอบว่า “ขอผมเป็นกลางทางการเมือง” ดังที่เราได้เห็นท่าน “เต้นฟุตเวิร์ก” หลบเลี่ยงประเด็นเหล่านี้มาโดยตลอด
ผู้เขียนคิดว่าถ้าจะปฏิรูประบบราชการ ก็ต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนความคิดและการแสดงออกในทางการเมืองของข้าราชการทั้งหลายนี้เสียก่อน ซึ่งจะเป็นการ “นำร่อง” ให้องคาพยพทุกส่วนคือประชาชนทั้งประเทศนั้น “ขยับเขยื้อน” ต่อไปได้ เพราะหากข้าราชการทั้งหลายยังแสดงบทบาท “การไร้ความรู้สึกต่อการเมือง” อยู่แบบนี้ ก็คงไม่ผิดอะไรกับผู้ป่วยที่เป็นโรค “หย่อนสมรรถภาพ” ไม่ทำให้เกิดผลิตผลอะไรขึ้นมาได้
ถ้าผู้นำและชนชั้นนำคือข้าราชการทั้งหลาย “รังเกียจ” การแสดงออกซึ่งตัวตนทางการเมือง ก็ไม่น่าจะวางกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกของท่านเหล่านี้ อย่างเช่น การเขียนรัฐธรรมนูญให้มีระบบ
พรรค รวมถึงการเขียนกฎหมายพรรคการเมืองและการเลือกตั้งให้มีการทำไพรมารีโหวต เพราะเราก็จะได้เห็นแต่คนที่ “บ้าการเมือง” จริงๆ เท่านั้นที่กล้าเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในลักษณะดังกล่าว เพราะคนทั่วไปก็จะดูท่านผู้นำอันรวมถึงข้าราชการที่เป็นชนชั้นนำอยู่แล้วนั้นเป็นแบบอย่าง ว่าขนาดคนที่ต้องรับผิดชอบบ้านเมืองอย่างแท้จริง ท่านก็ยังไม่สนใจที่เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างจริงจัง
เฮ้อ คงพูดได้แต่ว่า “มันก็เป็นอย่างนี้ทั้งวัดแหละโยม”


