โรคหลงตัวเอง ในโซเชียลมีเดีย (1)
ใครที่เคยเรียนหรือเคยอ่านเทพนิยายกรีกโบราณ คงรู้จักเทพนาร์ซิสซัส
โดย โสภิตา สว่างเลิศกุล [email protected] ภาพ : นาร์ซิสซัสหลงเงา ศิลปิน คาราวัจโจ
ใครที่เคยเรียนหรือเคยอ่านเทพนิยายกรีกโบราณ คงรู้จักเทพนาร์ซิสซัส ที่กำเนิดมาจากเทพวีนัสกับอพอลโล่ ที่มีหน้าตาที่หล่ออย่างไม่มีใครเทียบได้ จนทำให้กลายเป็นคนหลงตัวเอง
ด้วยเหตุนี้นาร์ซิสซัสจึงบ้าส่องกระจกทุกวัน และหลงตัวเองมากจนลุกลามไปถึงขั้นทำตัวโอหังต่อทุกคน จึงทำให้เทพแอโฟไดรท์สาปให้หลงรูปตัวเองจนฆ่าตัวตาย
นาร์ซิสซัส หมายถึง การหลับ หรือความไม่รู้สึก ในเทพปกรณัมกรีก เป็นนายพรานจากดินแดนเธสพิเอ ในโบโอเทีย ผู้มีชื่อเสียงในด้านความงาม เขาเป็นผู้หยิ่งทะนงเป็นพิเศษ โดยรังเกียจผู้ที่รักเขา เนเมซิสเห็นดังนี้และดึงดูดนาซิสซัสไปยังบ่อ ที่ซึ่งเขาเห็นเงาสะท้อนของตนในน้ำและตกหลุมรักเงานั้น โดยไม่ทราบเลยว่ามันเป็นเพียงภาพ จนสุดท้ายก็ตายเพราะไม่อาจผละสายตาไปจากความงามของเงาสะท้อนของตน
ทางการแพทย์เรียกอาการหลงตัวเองอย่างรุนแรงว่า นาซิซีติส (Narcisisitic) หรือนาร์ซิสซัสซินโดรม (Narcissus Syndrome) ในเว็บไซต์ความรู้และข้อมูลทางด้านการแพทย์และสุขภาพ pobpad.com ให้ข้อมูลถึงโรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder) ว่า เป็นโรคบุคลิกภาพผิดปกติชนิดหนึ่ง โดยผู้ป่วยโรคนี้จะมีลักษณะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องการการยกยอชื่นชม และขาดความเห็นใจผู้อื่น
ผู้ป่วยโรคนี้มักหมกมุ่นอยู่กับการโอ้อวดตัวตนของตัวเอง เช่น ความสำเร็จ รูปร่างหน้าตา หรือฐานะทางการเงิน เชื่อว่าตัวเองนั้นเหนือกว่าผู้อื่น รวมทั้งมักคบค้าสมาคมกับบุคคลที่เห็นว่ามีความพิเศษหรือสำคัญมาก
การกระทำดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและเคารพนับถือตัวเองให้มากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยโรคนี้มีความนับถือตัวเองต่ำ ไม่สามารถทนการวิพากษ์วิจารณ์ได้ และมักอับอายหรือรู้สึกอ้างว้างเมื่อถูกปฏิเสธหรือได้รับการวิจารณ์ข้อเสียของตัวเอง
ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคหลงตัวเองจะปรากฏสัญญาณหรือพฤติกรรมของโรค 5 ลักษณะ หรือมากกว่านั้น ดังนี้
+ มักยึดตัวเองเป็นสำคัญมากเกินไป เช่น หวังว่าผู้อื่นจะเห็นว่าตัวเองพิเศษหรือเหนือกว่าในด้านต่างๆ
+ มักหมกมุ่นกับการคิดถึงความสำเร็จ อำนาจ ความร่ำรวย ความงาม หรือความรักในอุดมคติของตัวเอง
+ เชื่อว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ และบุคคลที่มีความพิเศษหรือสถานะทางสังคมที่สูงเทียบเท่ากันเท่านั้นถึงจะเข้าใจตน
+ ต้องการความสนใจ การยอมรับ และความชื่นชมจากผู้อื่น
+ คิดว่าสมควรได้รับอภิสิทธิ์ต่างๆ อย่างไม่มีเหตุผล
+ แสวงหาประโยชน์จากผู้อื่น เพื่อให้ตนเองบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
+ ขาดความเห็นใจและนึกถึงผู้อื่น
+ มักริษยาผู้อื่น หรือเชื่อว่าคนรอบข้างอิจฉาตนเอง
+ มีความคิดหรือพฤติกรรมที่เย่อหยิ่ง จองหอง
ปัจจุบันโรคหลงตัวเองได้ระบาดในผู้ใช้โซเชียลมีเดียต่างๆ อย่างกว้างขวาง เรียกว่าเป็นโรคแห่งยุคสมัยหรือยุคดิจิทัล ออนไลน์ นี้ก็ว่าได้ ประชาสังคมออนไลน์มักจะพบเจอคนที่ป่วยเป็นโรคนี้มาแล้วไม่มากก็น้อย แต่พวกเขาไม่รู้ตัว
หยิบงานวิจัยชิ้นที่ตีพิมพ์ในวารสาร Personality and Individual Differences ซึ่งรายงานถึงโรคหลงตัวเองในปัจจุบันว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ตะวันตก (Western Illinois University) ได้ทำการศึกษานิสัยการใช้เฟซบุ๊กของนักศึกษา 294 คน ที่มีอายุระหว่าง 18–65 ปี โดยทำการวัดผลเสียเชิงสังคมของการหลงตัวเองสองตัว อันได้แก่ Grandiose Exhibitionism (GE) ประกอบไปด้วย แนวโน้มความเห็นแก่ตัว ความหยิ่งยโส ความรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น และการแสดงความโอ้อวด
Entitlement/Exploitativeness (EE) ประกอบไปด้วยความรู้สึกที่ตนเองสมควรจะได้รับความนับถือและความพยายามที่จะบงการและใช้ประโยชน์จากบุคคลอื่น
คนที่ได้คะแนนสูงจากการทำแบบสอบถาม Narcissistic Personality Inventory มักจะมีเพื่อนเป็นจำนวนมากบนเฟซบุ๊ก จะได้รับการแท็กชื่ออยู่บ่อยๆ และมีการอัพเดทหน้าบัญชีรายชื่อของตัวเองเป็นประจำ นอกจากนี้คนที่เป็นโรคหลงตัวเองมักจะเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ตัวเองบ่อยๆ และโต้ตอบอย่างก้าวร้าวกับคนที่มาแสดงความคิดเห็นในเชิงไม่ดี
ผลการวิจัยพบว่า คนที่ได้คะแนนสูงทั้ง EE และ GG จะมีแนวโน้มยอมรับการขอเป็นเพื่อนจากคนแปลกหน้าได้ง่ายและมักจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่จะไม่ค่อยช่วยคนอื่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบนเฟซบุ๊กและองค์ประกอบที่เป็นอันตรายของการหลงตัวเอง
เพราะฉะนั้น ผลวิจัยนี้จึงตอบสมมติฐานได้ว่าคนยุคปัจจุบันเป็นโรคหลงตัวเองผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นช่องทางในการแสดงออกมากขึ้น ทางการแพทย์ถือเป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งคนที่เป็นโรคนี้มักเป็นคนที่มีความเครียดอยู่ตลอดเวลา กลัวตัวเอง กลัวสังคม
ในแง่ของการอยู่ร่วมในสังคม คนที่เป็นโรคหลงตัวเองจะเป็นคนที่กลัวความขายหน้าเป็นที่สุด จึงไม่ยอมที่จะให้ตัวเองตกอันดับ แต่กลับจะทำตัวให้โดดเด่นและมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก แบบที่บางทีก็แทบไม่สนใจสายตาใคร ซึ่งถ้าได้รับการตอบสนองที่ดีก็จะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้อาการกำเริบอย่างหนัก
แต่ในทางกลับกันถ้าไม่ได้รับการตอบสนอง หรือเสียงตอบรับที่ไม่ดีเท่าที่ควร ก็จะยิ่งทำให้เกิดความผิดพลาดอย่างหนัก จนอาจทำให้เกิดอาการของโรคซึมเศร้า และไปก่ออันตรายร้ายแรงให้แก่ผู้อื่นได้


