แมนจู-ยึดจีนได้ เพราะความร่วมมือข้ามชาติพันธุ์
แม้จีนจะเป็นอาณาจักรใหญ่ในเอเชียตะวันออก แต่ก็มีหลายครั้งที่จีนถูกรุกรานจากชนเผ่านอกด่านจนสิ้นแผ่นดิน
แม้จีนจะเป็นอาณาจักรใหญ่ในเอเชียตะวันออก แต่ก็มีหลายครั้งที่จีนถูกรุกรานจากชนเผ่านอกด่านจนสิ้นแผ่นดิน
ในบรรดาชนนอกด่านที่เข้ารุกรานจีน ชนเผ่าแมนจูซึ่งสุดท้ายสถาปนาตัวขึ้นเป็นต้าชิง (ราชวงศ์ชิง) มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะมีจำนวนประชากรเพียงน้อยนิด แต่สามารถพิชิตจีนให้ยอมศิโรราบต่อเนื่องยาวนานถึงสองร้อยกว่าปี
ภาพจากหนังจีนย้อนยุคที่ชายทุกคนถูกบังคับให้โกนผมครึ่งหน้าไว้เปียยาวด้านหลัง... นั่นก็คือทรงผมที่ชาวแมนจูบังคับให้ชาวจีนไว้ตามพวกตน และราชวงศ์ชิงก็ยังเป็นราชวงศ์สุดท้ายก่อนจีนก้าวสู่โลกยุคใหม่
มองมุมหนึ่ง จีนใหม่จึงเป็นจีนที่ปลดแอกตัวเองออกจากการปกครองของชนเผ่าต่างเชื้อชาติ-ชาวแมนจู
เมื่อเปรียบกับยุคก่อนหน้านี้ ที่จีนถูกชนเผ่านอกด่านเช่นมองโกล หรือชนเผ่านอกด่านอื่นๆ ผลัดกันรุมกินโต๊ะในยุคก่อนหน้านั้น เทียบบัญญัติไตรยางศ์ระหว่างอิทธิพลและจำนวนประชากรแล้ว ชาวแมนจูคือชนกลุ่มน้อยที่ส่งอิทธิพลใหญ่โตที่สุดต่อจีน
ชาวจีนย่อมพยายามหาคำอธิบายที่ว่า “ทำไมชาวจีนจำนวนมากถึงพ่ายแพ้แก่ชาวแมนจูนอกด่าน ซึ่งทั้งด้อยอารยธรรม และมีจำนวนน้อยนิด”
หนึ่งในนักปฏิวัติปลายราชวงศ์ชิงว่าไว้ “หากชาวจีนร้อยคนสู้ตายกับชาวแมนจูเพียงหนึ่งคน ต่อให้สู้จนชาวแมนจูหมด ก็ยังเหลือชาวจีนอยู่อีกมาก แต่เพราะชาวฮั่นไม่รักเชื้อชาติ ไม่สามัคคีกันต่อต้านศัตรู จึงพ่ายแพ้”
นี่คือตัวอย่างหนึ่งของคำตอบที่มักใช้อธิบายกัน ซึ่งไม่พ้นเหตุผลที่ว่าเพราะขาดความสามัคคีและทรยศกันเอง
คำตอบนี้ถูกตอกย้ำด้วยประวัติศาสตร์ที่มักเน้นว่า เป็นเพราะฝ่ายราชสำนักหมิงต้องเจอกบฏภายใน แล้วยังมีขุนพลอู๋ซานกุ้ยที่ดันทรยศเปิดประตูด่านให้ชาวแมนจูเข้ามายึดเมืองหลวง
ชาวจีนบางส่วนเห็นว่า ถ้าอู๋ซานกุ้ยไม่เปิดประตูด่านให้ ชาวแมนจูก็เข้ามารุกรานจีนไม่ได้แน่นอน
ชาวแมนจูจึงดูไม่ต่างอะไรกับชนเผ่านอกด่านอื่นๆ ที่ล้วนเป็นพวกไร้อารยธรรม ที่มาเหยียบย่ำดินแดน เอาชนะความศิวิไลซ์ของชาวจีนได้เพราะชาวจีนพลั้งเผลอ
ทั้งหมดคือวิธีการมองโดยใช้จีนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งทำให้คำตอบวนเวียนอยู่ไม่ไกล… ซึ่งก็คือคำสรุปสั้นๆ ง่ายๆ ว่าชาวแมนจูดวง (หรือจังหวะ) ดี ที่เข้าตีตอนจีนอ่อนแอ แตกสามัคคี
แต่หากย้ายศูนย์กลางของเรื่องนี้ไปที่ชาวแมนจู จะค้นพบว่ามันไม่ใช่เรื่องดวงเพียงอย่างเดียว แต่กลับเป็นการสั่งสมและเตรียมตัวมานานหลายสิบปี
ชาวแมนจูอาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรหมิง (จีน) มีชนเผ่าเร่ร่อนเช่นมองโกล และรัฐบรรณาการของจีนอย่างโชซอล (เกาหลี) เป็นเพื่อนบ้าน แต่ชาวแมนจูอย่างไรก็เป็นชนกลุ่มน้อยท่ามกลางกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่กว่า โอกาสจะยิ่งใหญ่จึงน้อยนิด
แล้วโอกาสของแมนจูก็มาถึง เมื่อปี ค.ศ. 1592 ญี่ปุ่นรุกรานโชซอล ลูกพี่จีนจึงเข้าทำสงครามปกป้องรัฐบรรณาการของตน ผลคือสงครามที่ต่อเนื่องยาว 7 ปี จีน โชซอล และญี่ปุ่นต่างอ่อนแรง เป็นช่องว่างให้ชนเผ่าแมนจูเติบใหญ่เรื่องที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับชนเผ่าแมนจูแต่อย่างใด จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ชาวแมนจูรวมเผ่าเล็กน้อยที่แตกแยกได้ในปี ค.ศ. 1593 (ปีที่สองที่จีน ญี่ปุ่น โชซอลมีปัญหาขัดแย้งกัน)
หลังจากนั้นชาวแมนจูใช้นโยบายสงครามสลับกับการกระชับความสัมพันธ์ผ่านการแต่งงานไปรวมเอาชนเผ่ามองโกลส่วนหนึ่งเข้ามาเป็นพวก ซึ่งหวงไท่จี๋-ผู้นำชาวแมนจูยุคนั้นดำเนินนโยบายเช่นนี้ต่อเนื่องกันมานับสิบปี
ในปี ค.ศ. 1636 ชาวมองโกลใต้ 16 เผ่ารวมตัวยกให้หวงไท่จี๋ขึ้นเป็นข่านของตน (ชื่อว่า Bugda chechen khan) หวงไท่จี๋จึงควบรวมฐานะผู้นำของชาวแมนจูและชาวมองโกลใต้ในคนเดียว
นี่คือความร่วมมือนอกเหนือเส้นกั้นเชื้อชาติและชนเผ่า ซึ่งชาวแมนจูเห็นเป็นหนทางในการขยายอำนาจในรูปแบบของตน
เป็นนวัตกรรมความร่วมมือรูปแบบใหม่ที่จะนำพาชนกลุ่มน้อยสู่ความเป็นใหญ่ได้ ซึ่งนวัตกรรมเช่นนี้ไม่ค่อยมีในวิธีคิดแบบมองจีนเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญ
ในปีเดียวกันที่หวงไท่จี๋ตั้งตัวเป็นข่าน เขาสถาปนาราชวงศ์ชิง (ต้าชิง) ขึ้น แต่โชซอลแสดงท่าทีไม่ยอมรับ หวงไท่จี๋จึงจัดสงครามสั่งสอน บีบให้โชซอลต้องยอมตัดสัมพันธ์จากจีน กลายมาเป็นรัฐบรรณาการของต้าชิงแทน
เหตุการณ์นี้เกิดก่อนชาวแมนจูยึดปักกิ่ง-เมืองหลวงราชวงศ์หมิงอยู่ 7-8 ปี
กองกำลังของหวงไท่จี๋ยุคนั้น จึงไม่ได้มีแต่ชนเผ่าแมนจูเพียงลำพังแต่อย่างใด
ยุคนั้นยังมีชาวจีนจำนวนไม่น้อยมาสวามิภักดิ์กับหวงไท่จี๋เรียบร้อยแล้ว และหวงไท่จี๋ก็มีนโยบายปกป้อง คุ้มครอง และให้โอกาสชาวจีนเช่นกัน
ชาวจีนจึงยอมรับชาวแมนจูได้ง่ายดายมาพักใหญ่ และอู๋ซานกุ้ยในอีก 7-8 ปีข้างหน้า จึงไม่ใช่คนจีนคนสำคัญที่แปรพักตร์เข้าหาชาวแมนจูเป็นคนแรก
ชาวแมนจูภายใต้การนำของหวงไท่จี๋ จึงจัดเป็นชนกลุ่มน้อยที่สามารถทำให้ชาวจีนสวามิภักดิ์ตั้งแต่ก่อนยาตราทัพยึดเมืองหลวงของจีนได้สำเร็จ มากกว่าชนกลุ่มน้อยอื่นใดในอดีต
ฉะนั้นก่อนที่อู๋ซานกุ้ยจะเปิดประตูด่านให้ชาวแมนจูเข้ามา ต้าชิงก็สามารถทำทุกอย่างที่ราชวงศ์หมิงทำได้ (มีชาวจีนเป็นขุนนาง มีรัฐบรรณาการของตน) แถมบางอย่างที่ราชวงศ์หมิงทำไม่ได้ (เป็นผู้นำของชาวมองโกล) ต้าชิงกลับทำได้ดีกว่า ทางด้านการเมืองการทหาร ชาวแมนจูจึงมิใช่แค่ชนเผ่านอกด่านที่อารยธรรมต่ำต้อย
กองทัพ 8 ธงของชาวแมนจูที่โด่งดัง ซึ่งก่อตั้งจากชาวแมนจู 8 สกุลในยุคเริ่มต้น พอมาถึงช่วงนั้นจึงไม่ได้มีอยู่เพียง 8 ธงเท่านั้น แต่มีถึง 24 ธง ซึ่ง 16 ธงที่เหลือคือ 8 ธงชาวมองโกล และ 8 ธงชาวจีน
กองธงทั้งหมดนี้มีสิทธิพิเศษเหนือสามัญชน เช่น ไม่ต้องโดนเกณฑ์ไปใช้แรงงาน ได้เงินเลี้ยงดูจากราชสำนัก สิทธิพิเศษนี้ไม่ใช่เพราะเชื้อชาติ แต่เป็นเพราะว่าเขาคือพันธมิตรที่ร่วมมือกับผู้นำอย่างหวงไท่จี๋
ชาวแมนจูจึงไม่ได้รุกรานเข้าด่านเมืองจีนในฐานะชนกลุ่มน้อยชาวแมนจู แต่กลับเป็นกลุ่มพันธมิตรหลากหลายชนเผ่าที่ผูกอนาคตและผลประโยชน์แห่งความสำเร็จไว้ร่วมกัน
จนเมื่อเวลาผ่านไปนับร้อยปี กระแสปฏิวัติจำเป็นต้องจุดขึ้นโดยใช้เรื่องเชื้อชาติเป็นน้ำมัน บรรดาผู้ปลุกระดมไฟปฏิวัติจึงดึงเรื่องชนเผ่าและเชื้อชาติขึ้นมาสร้างความฮึกเหิมให้กับชาวจีนเพื่อล้มล้างราชวงศ์ชิง
รูปแบบพันธมิตรที่ร่วมมือยึดอาณาจักรจีน จึงถูกลดรูปให้เป็นเพียงกลุ่มของเชื้อชาติแมนจูที่เข้ามาข่มเหงชาติเชื้อจีน
ซึ่งที่จริงชาวแมนจูยึดอาณาจักรจีนได้จึงมาจากความร่วมมือรูปแบบใหม่ ที่มิใช่อาศัยแค่กำลังชาวแมนจูอันน้อยนิด และเมื่อใช้กรอบการมองผิด จึงทำให้เกิดคำถามน่าฉงน และมักจบลงที่คำตอบง่ายๆ ว่า เพราะชาวจีนไม่สามัคคี และมีหนอนบ่อนไส้ จึงพ่ายแพ้แก่ศัตรูจำนวนน้อย
และเมื่อยึดติดกับการมองจีนเป็นศูนย์กลางอารยธรรม และการแบ่งแยกเป็นเชื้อชาติชนเผ่าก็ย่อมจะมองไม่เห็นนวัตกรรมความร่วมมือรูปแบบใหม่ซึ่งชาวแมนจูได้สร้างไว้ ซึ่งนั่นก็คือการรวมความแตกต่าง หลากหลายชนเผ่าเอาไว้ได้ จนทำให้ชาวแมนจูที่มีจำนวนน้อยนิด ขึ้นเป็นใหญ่ โดยมิต้องสู้อย่างโดดเดี่ยว
การถอดแว่นที่แบ่งแยกและขีดขั้นคนออกจากกันอย่างหยาบๆ (ไม่ว่าจะด้วยอาณาเขต ดินแดน หรือชาติเชื้อออกจากกัน) และการย้ายมุมมองใหม่โดยไม่ยึดติดอยู่ที่ศูนย์กลางที่คุ้นเคย จึงทำให้เห็นประเด็นที่ใกล้ความจริงมากขึ้น และไม่ตกหล่นตัวแปรอื่นที่ถูกจำกัดโดยกรอบลวงตา


