การพัฒนา EF ในเด็กปฐมวัย
Executive Function (EF) หรือทักษะการทำงานของสมองระดับสูงมีหน้าที่ในการบริหารจัดการ ควบคุมความคิด อารมณ์
โดย รศ.นพ.วีระศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาวิชาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Executive Function (EF) หรือทักษะการทำงานของสมองระดับสูงมีหน้าที่ในการบริหารจัดการ ควบคุมความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของตนเองเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายได้
EF จะเริ่มพัฒนาตั้งแต่ช่วงปฐมวัย หรือ 8 ปีแรกของชีวิต ซึ่งจะพัฒนาอย่างมากในช่วงอายุ 3-6 ขวบ แล้วจะพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนสมบูรณ์เต็มที่เมื่ออายุประมาณ 20-25 ปี ดังนั้นปฐมวัยจึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เด็กๆ ควรได้รับการพัฒนาทักษะ EF เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการควบคุมตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ต้องพบกับความท้าทาย หรือความยากลำบากในชีวิต
ทักษะ EF ประกอบด้วยทักษะพื้นฐานสำคัญ 3 อย่าง ได้แก่ ความจำในการทำงาน (Working Memory) การควบคุมยับยั้งตนเอง (Inhibitory Control) และการมีความคิดยืดหยุ่น (Cognitive Flexibility)
ความจำในการทำงาน คือ ความสามารถในการจดจำข้อมูลแล้วคิดในใจได้ ซึ่งจะเริ่มพัฒนาตั้งแต่ 1 ปีแรก เช่น เมื่อเด็กเล่นจ๊ะเอ๋ เด็กสามารถจดจำภาพของพ่อแม่อยู่ภายในใจได้ ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าของพ่อแม่ขณะนั้นก็ตาม ความจำในการทำงานมีความสำคัญต่อการอ่านหนังสือ การคำนวณ การจัดลำดับความสำคัญ รู้ว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำ
การควบคุมยับยั้งตนเอง ได้แก่ การรู้จักควบคุมยับยั้งตนเองที่ระดับพฤติกรรม คือ สามารถอดทนอดกลั้นต่อสิ่งล่อใจ ไม่หุนหันพลันแล่นและชะลอความพึงพอใจเป็น ควบคุมยับยั้งตนเองที่ระดับสมาธิ ทำให้สามารถจดจ่อต่อสิ่งที่สำคัญขณะนั้นได้ และการควบคุมยับยั้งตนเองที่ระดับความคิดคือสามารถต้านทานต่อความคิดที่ไม่ต้องการเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายได้
เช่น เด็กอายุ 3-4 ขวบ สามารถควบคุมยับยั้งตนเองให้ฟังนิทานที่ครูเล่าจนจบได้ เด็กต้องตั้งใจจดจ่อในนิทานที่ฟัง อดทนต่อสิ่งล่อใจอื่นๆเช่น เห็นเพื่อนที่นั่งข้างๆ กำลังเล่นรถ ก็ไม่หุนหันพลันแล่นไปแย่งรถของเพื่อน และถึงแม้ว่าคิดอยากจะเล่นรถของเพื่อน ก็สามารถควบคุมความคิดที่อยากจะทำนั้นให้กลับมาอยู่ที่การฟังนิทานจนจบได้
การมีความคิดยืดหยุ่น คือ ความสามารถของเด็กในการคิดนอกกรอบ หรือคิดในมุมมองของผู้อื่น ทักษะนี้จะเริ่มพัฒนาเมื่อมีอายุ 4-5 ขวบ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยทักษะความจำในการทำงานและการควบคุมยับยั้งตนเองด้วย ความคิดยืดหยุ่นจำเป็นสำหรับการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ การสับเปลี่ยนงาน การเข้าใจความคิด และความรู้สึกของผู้อื่นทักษะ EF พื้นฐานเหล่านี้จำเป็นสำหรับการพัฒนาทักษะ EF ขั้นสูงโดยเฉพาะการใช้เหตุผล การคิดแก้ปัญหา การวางแผน และความสามารถในการเฝ้าติดตามตนเองด้วย
ปัจจุบันมีข้อมูลการวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นว่าเด็กที่มี EF ไม่ดีตั้งแต่ปฐมวัย มีโอกาสที่จะมีปัญหาสุขภาพทั้งทางร่างกาย เช่น โรคอ้วนลงพุง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และปัญหาสุขภาพจิตเช่น โรคซน/สมาธิสั้น โรคซึมเศร้า การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ติดยาเสพติด และทำผิดกฎหมายเมื่อเป็นผู้ใหญ่ รวมทั้งประสบความสำเร็จในการเรียน การทำงาน การใช้ชีวิต มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเด็กที่มี EF ต่ำกว่า
พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูจะส่งเสริม EF ในเด็กอย่างไร
• การเลี้ยงดูเชิงบวก พ่อแม่ที่มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กตั้งแต่เล็กๆ มีสติไวต่อความรู้สึก ส่งเสริมให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง ส่งเสริมเป้าหมาย ฝึกลูกให้ตัดสินใจอะไรด้วยตนเอง มีระเบียบวินัย มีเหตุผล และตอบสนองลูกอย่างเหมาะสม จะทำให้ลูกสามารถพัฒนาทักษะ EF มากขึ้น ในขณะที่พ่อแม่ที่มองลูกในเชิงลบ ปล่อยปละละเลย ใช้ความรุนแรง และตามใจเด็กจะยิ่งทำให้ EF ของลูกแย่ลง
• ส่งเสริมให้เด็กรับรู้ว่าตนเองสามารถทำงานให้สำเร็จ โดยเฉพาะการฝึกให้เด็กมีโอกาสช่วยเหลือตนเองตามวัย เช่น 4 ขวบ ควรแปรงฟันอาบน้ำ แต่งตัว และรับประทานอาหารด้วยตัวเองได้ หลังจากนั้นจึงเริ่มฝึกให้เด็กช่วยงานบ้าน ผู้เลี้ยงดูที่ฝึกให้เด็กรับรู้ว่าตนเองสามารถช่วยเหลือตัวเองจนเสร็จได้ จะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ นับถือตนเอง และมี EF ที่ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้รับการฝึกให้ทำอะไรด้วยตัวเองเลย
• สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านจอ เด็กที่ได้รับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านจอตั้งแต่อายุน้อย ทั้งๆ ที่เด็กไม่ได้ดูรายการนั้นๆ ก็ตาม รวมทั้งสื่อที่เป็นรายการผู้ใหญ่นำเสนอภาพเร็วๆ หรือแม้รายการการ์ตูนก็ตาม มีความสัมพันธ์กับ EF ที่แย่ลง โดยเฉพาะหากพ่อแม่ไม่ฝึกระเบียบวินัยอย่างสม่ำเสมอร่วมด้วย
ดังนั้น เด็กอายุน้อยกว่า 2 ขวบ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่หน้าจอทุกชนิดเด็กอายุมากกว่า 2 ขวบ ควรใช้หน้าจอกับพ่อแม่ด้วยสื่อคุณภาพไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง อีกทั้งแต่ละครอบครัวควรปิดหน้าจอเพื่อให้เด็กอยู่กับพ่อแม่ ทำกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น เช่น เล่นกีฬา ทำงานศิลปะ เล่นดนตรี อ่านหนังสือนิทาน หรือเล่นสมมติอย่างมีจินตนาการ เนื่องจากกิจกรรมเหล่านี้สามารถพัฒนา EF ได้มากกว่า
• การฝึกเจริญสติสัมปชัญญะ เด็กสามารถฝึกการเจริญสติสัมปชัญญะได้ตั้งแต่เล็กๆ โดยเริ่มฝึกให้เด็กทำอะไรด้วยตนเอง เช่น เด็กต้องมีสติสัมปชัญญะในการหยิบจานอาหาร แล้วเดินไปวางบนโต๊ะโดยไม่หก นอกจากนี้การสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของลูกก็ยังช่วยฝึกให้เด็กๆ มีสติสัมปชัญญะมากขึ้น เช่น เมื่อเด็กไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วร้องไห้โวยวาย หากพ่อแม่สะท้อนอารมณ์ของลูกโดยบอกว่า “หนูโกรธที่ไม่ได้เล่นของเล่น” จะช่วยให้เด็กฝึกการระลึกและรับรู้อารมณ์ตามความเป็นจริงได้
• การนอนหลับอย่างเพียงพอและมีคุณภาพ เด็กที่มีปัญหาการนอนหลับไม่เพียงพอ หรือไม่มีคุณภาพ ไม่สามารถนอนหลับได้ตลอดคืนมักจะทำให้ EF แย่ลง พ่อแม่ควรส่งเสริมให้เด็กนอนหลับอย่างเพียงพอ
ทำไมต้องฝึก EF ตั้งแต่ปฐมวัย การพัฒนาสมองตามปกติจะต้องมีกระบวนการตัดแต่งการเชื่อมต่อกันระหว่างเซลล์ประสาท (Synaptic Pruning) เพื่อให้เหลือการเชื่อมต่อกันระหว่างเซลล์ประสาทที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งกระบวนการนี้จะเริ่มเมื่อก่อนเข้าวัยรุ่น
ดังนั้น เด็กที่ไม่ได้รับการพัฒนา EF ตั้งแต่ช่วงปฐมวัยจะมีการเชื่อมต่อกันระหว่างเซลล์ประสาทที่เหลืออยู่ ซึ่งจำเป็นต่อทักษะ EF ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการควบคุมตนเองเมื่อเป็นวัยรุ่น และผู้ใหญ่ต่อไปจนทำให้เกิดผลกระทบต่างๆ ตามมาได้ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าทำไม การพัฒนา EF ตั้งแต่ปฐมวัยจึงเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศในยุค Thailand 4.0


