posttoday

เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์

10 มิถุนายน 2561

ผมหลับฝันเห็นเด็กคนหนึ่งในท้องทุ่ง ก่อนที่เด็กคนนั้นจะกลายเป็นน้ำค้าง

โดย พริบพันดาว

“ผมหลับฝันเห็นเด็กคนหนึ่งในท้องทุ่ง ก่อนที่เด็กคนนั้นจะกลายเป็นน้ำค้าง ครั้นเมื่อรุ่งอรุณมาถึงพร้อมกับแสงแดดส่องฉาย เด็กคนนั้นก็ระเหยหายไป และก่อนที่เด็กคนนั้นจะระเหยหายไป เขาได้ตะโกนร้องบอกกับผมว่า รักษาดวงตาเอาไว้ให้ดีนะ ระวังอย่าให้มันหล่นแตก...”

นั่นคือเนื้อหาเพียงท่อนหนึ่งในนวนิยายเล่มใหม่ที่ชื่อ “ความฉิบหายชั่วชีวิต” ของ เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ นักเขียนเจ้าของรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือรางวัลซีไรต์ ของประเทศไทย ในปี 2547 จากหนังสือรวมเล่มบทกวีนิพนธ์ “แม่น้ำรำลึก”

สำหรับนวนิยายเล่มใหม่ “ความฉิบหายชั่วชีวิต” เรวัตร์ ขยายความว่าคือหนึ่งในไตรภาคของนวนิยายที่เขาวางแผนเขียนมาเกินทศวรรษแล้ว

เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์

“เล่มแรกคือ ‘นักปั้นน้ำ’ เล่มที่สอง ‘นักเข้าฝัน’ และเล่มสุดท้ายคือเล่มนี้ ซึ่งครั้งแรกตั้งชื่อไว้ว่า ‘นักล่าเมฆ’ สำหรับแรงบันดาลใจร่วมของนวนิยายไตรภาคชุดนี้ก็คือ การเฉลิมฉลองให้ภาวะแห่งกวีนิพนธ์และศิลปะ เพราะตัวละครเอกในแต่ละเรื่องต่างใฝ่ฝันที่จะเป็นกวี และเป็นนักสร้างสรรค์ศิลปะแขนงอื่นๆ”

ว่าไปแล้ว เรวัตร์ เป็นคนที่ทำงานเขียนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น และบทกวี และกวาดรางวัลมาแล้วมากมาย ทั้งรางวัลลูกโลกสีเขียว รางวัลหนังสือดีเด่นงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ และเซเว่นบุ๊คอวอร์ด เรวัตร์ ขยายความเล่าถึงกระบวนทำงานและเนื้อสารที่ต้องการสื่อของนวนิยายเล่มนี้ของเขาว่า เป็นจินตนาการที่ผูกโยงกับเหตุการณ์และสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นผ่านจินตนาการเข้ามาเสริมเติมแต่ง

“ผมได้วางโครงสร้างไว้หลวมๆ เล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่ง โดยจำลองให้เป็นประเทศหนึ่ง มีพ่อเป็นผู้เถลิงอำนาจ เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของแต่ละชีวิตในปกครอง ก่อนนำพาครอบครัวไปสู่หายนะวิบัติในที่สุด โดยให้ตัวเอกเริ่มออกวิ่งหนีเงาบ้า ตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 มาจนกระทั่งถึงเดือน พ.ค. 2557 อันแสดงให้เห็นถึงความว่างเปล่าร้าวรานของมนุษย์เล็กๆ ในประเทศที่ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าแห่งนี้ได้

เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์

และที่ผมบอกว่าได้วางโครงสร้างไว้หลวมๆ นั่นเป็นเพราะผมต้องการให้ตัวละครเอกที่ออกวิ่งไปทั่วถิ่นทั่วทิศ ด้วยระยะเวลารวมแล้วถึงยี่สิบสองปี ได้พบเจอกับเหตุการณ์และเรื่องราวเฉพาะหน้า และได้มีความรู้สึกนึกคิดที่พุ่งขึ้นด้วยตัวของมันเอง”

เราทุกคนต่างมี “เมฆขาว” และ “เงาดำ” อยู่ในตัว เราต่างเคยเป็นผู้กระทำ เราอาจเคยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่จนสถานการณ์สุกงอมเกินจะแก้ไข เรามักคิดว่ามีความเป็นตัวของตัวเองและไม่เหมือนใคร ทั้งที่นิสัยใจคอมนุษย์อาจถูกหล่อหลอมออกมาให้มีความคล้ายคลึงกันมากกว่าที่คิด เราอาจเคยบงการหรือถูกบงการ เราอาจทะนงองอาจหรืออาจสยบยอมต่ออำนาจ เราอาจนำทางหรือหลงทาง เราอาจเป็นอะไรหลายๆ อย่างที่เราไม่เคยคิดว่านั่นคือเรา

ข้างต้นนั่นคือการรวบเอาแก่นความคิดในนวนิยาย “ความฉิบหายชั่วชีวิต” ซึ่งเรวัตร์ ย้ำว่าได้ตีแผ่ความเป็นมนุษย์ที่มีหลากหลายมิติผ่านเรื่องราวที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ของครอบครัวหนึ่ง สะท้อนทั้งแง่งามและแง่ทรามของชีวิต ของสังคม และของโลกใบนี้ อย่างไม่ประนีประนอมใดๆ

เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์

ท้ายสุด เรวัตร์ คาดหวังถึงนวนิยายเล่มนี้และฝากไปถึงคนอ่านว่า

“ผมคาดหวังว่าผู้ที่ได้อ่านนวนิยายเรื่องนี้ จะได้สำรวจความหม่นมืดของโลกด้านใน และความเลวร้ายของโลกภายนอกไปพร้อมๆ กัน และหวังมากที่สุดว่าหนังสือจะกระจายไปสู่นักอ่านในวงกว้างอย่างที่สุดครับ”

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 68