ผู้กองหนุ่มวางปืนคืนดาวสู่ดิน เปิดติวฟรีสานฝันเด็กบ้านนอก
การให้ความรู้ คือ การให้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ที่ผู้กองหนุ่ม “ร.ต.อ.อภิชิต ภัณฑะประทีป”
โดย สุรชัย พิรักษา
การให้ความรู้ คือ การให้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ที่ผู้กองหนุ่ม “ร.ต.อ.อภิชิต ภัณฑะประทีป” หรือ “ผู้กองมิ้น” วัย 29 ปี รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองบุรีรัมย์ ทำหน้าที่เป็นครูสอนหนังสือให้กับ “เด็กยากจน” ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ แถมยังนำเงินเดือนส่วนตัวกว่า 1.5 แสนบาท เซ้งตึก เช่าอีกเดือนละ 1.5 หมื่นบาท หรือบ้านสร้างฝัน เปิดโรงเรียนติวฟรีให้กับนักเรียนยากจนได้มีโอกาสนำความรู้ติดตัวต่อยอดไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรี และยังได้นำไปพัฒนาตัวเองทัดเทียมเด็กที่ฐานะดี
บ้านสร้างฝัน คือ ตึกเช่าหลังหนึ่ง เลขที่ 36/123-124 ถนนอินจันทร์ณรงค์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ที่ “ผู้กองหนุ่ม” จะใช้เวลาว่างหลังจากออกเวรปฏิบัติราชการมาสอนหนังสือให้แก่เด็กนักเรียนที่ยากจนฟรี โดยเริ่มเปิดสอนมาตั้งแต่เดือน มี.ค. 2560 หลังจากได้ย้ายมารับตำแหน่งที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์ เด็กที่มาเรียนมีตั้งแต่ชั้น ม.1-ม4 ที่มีฐานะยากจน ปัจจุบันมีทั้งนักเรียนหญิงและนักเรียนชายทั้งไปกลับและนอนประจำ โดยเปิดสอนทุกวัน ต่างจากก่อนหน้านี้ที่จะสอนในช่วงเวลาออกจากเวรราชการเท่านั้น
ร.ต.อ.อภิชิต เล่าที่มาที่ไปของการตั้งชื่อบ้านสร้างฝัน เพราะบ้านหลังนี้เปรียบเหมือนเป็นที่สร้างฝัน จุดประกาย และต้องสานต่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย ซึ่งก่อนที่จะมาเปิดบ้านสร้างฝันให้กับเด็กๆ มันเริ่มจากหวนคิดถึงอดีตในวัยเด็ก สมัยก่อนบางหมู่บ้านค่อนข้างทุรกันดาร เพราะเคยพบเห็นสมัยเด็กจนฝังใจ หลังติดตามมารดาที่เดินทางไปสอนที่โรงเรียนไกลปืนเที่ยง ส่วนใหญ่ขาดโอกาสทางด้านการศึกษาไม่เหมือนเด็กในเมือง
“ผมได้พบเห็น ได้รับรู้ว่าเด็กที่อยู่พื้นที่ไกลปืนเที่ยงก็เพราะแม่เป็นครู เวลาไปโรงเรียนที่แม่สอนจะเห็นเด็กๆ แบบนี้ตลอด ส่วนใหญ่พ่อแม่ของเด็กๆ ต่างจังหวัดจะมีอาชีพทำไร่ทำนา รับจ้างทั่วไป เด็กอาศัยอยู่ถิ่นทุรกันดารไม่ใช่ว่าจะเรียนไม่เก่ง เพียงแค่พวกเขาขาดโอกาส ได้เรียนเฉพาะพื้นฐาน เมื่อขาดเรียนก็เรียนไม่ทัน คะแนนตก จึงทำให้เด็กมีความคิดที่ไม่อยากเรียนขึ้นมา” ผู้กองมิ้น เล่าความทรงจำที่ยังฝังใจในสมัยเป็นเด็ก
สมัยที่จบ ม.6 ร.ต.อ.อภิชิต เตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ต้องใช้เวลาทบทวนบทเรียนให้กับตัวเองอยู่ถึง 6 เดือน ที่สำคัญต้องแข่งกับตัวเองตลอดเวลา เพราะในปีนั้นมีนักเรียนสมัครเข้าสอบกว่า 3 หมื่นคน แต่รับเพียง 180 คน
“ผมมักจะบอกตัวเองเสมอว่าอย่าไปหวังชนะคนอื่น แต่ต้องให้ชนะสิ่งที่ตัวเองทำมามากกว่าถึงจะภาคภูมิใจเอง”
เมื่อประกาศผล อภิชิต ที่จบชั้น ม.6 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม คนนี้ สามารถสอบเข้าได้โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน จ.นครปฐม นรต.63 และได้รับเลือกขึ้นตำแหน่ง “รองสารวัตรประจำโรงเรียนนายร้อยตำรวจ” พร้อมกับผ่านการฝึกอบรม “ใบประกอบวิชาชีพสอบสวน” เข้าฝึกอบรมที่ สภ.เมืองนนทบุรี สาขารัตนาธิเบศร์ กระทั่งช่วงเดือน ต.ค. 2555 ได้ย้ายไปสังกัดที่ สน.ชนะสงคราม
หลังจากนั้นปลายปี 2559 จึงขอย้ายกลับมาทำงานสังกัด สภ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ โดยให้เหตุผลว่ามีความประสงค์ต้องการเปิดการเรียนการสอนฟรีให้กับเด็กผู้ยากจนหลังจากมีเวลาว่างจากราชการ เพราะถ้าเขาลงมือทำช้า อนาคตของเด็กๆ ก็จะยืดออกไป จึงต้องยื่นมือเข้ามาช่วยให้เร็วที่สุด เพราะเด็กๆ เหล่านี้บางคนเขาขาด “เพียงคำว่าโอกาสเท่านั้นนะ” ดังนั้น ต้องเร่งช่วยพวกเขา เรื่องมารยาทก็ไม่ห่วงครับ เขาเรียนรู้ว่าเขามาจากจุดไหน ต่อให้ยากจนแค่ไหน ถ้าตัวเขาเป็นคนดี เขาจะมีมูลค่ามหาศาล สามารถตอบแทนสังคม และนำความรู้ไปพัฒนาสิ่งที่เขาถนัดได้อีกหลายอย่าง
“วันนี้แค่เปลี่ยนชีวิตเขาตรงนี้ แต่เราสามารถสร้างอนาคตให้เด็กได้ทำประโยชน์แก่สังคมต่อไปเรื่อยๆ สังคมก็จะได้กำไรจากคนดีๆ ที่เติบโตขึ้นมา แต่ก็ไม่ใช่กับเด็กทุกๆ คนที่จะมีนิสัยเช่นนี้ มีอยู่คนหนึ่งสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปากรได้ เขาดีใจมาก ส่วนอีกคนเป็นเด็กที่น่าสงสาร อยู่ต่างจังหวัด สอบตำรวจได้แต่ว่าสายตาไม่ดี ผมก็ออกเงินส่วนตัว 2 หมื่นบาท และไปยืมคนรู้จักให้ครบ 4 หมื่นบาท เพื่อนำมารักษาสายตาสั้นด้วยการทำเลสิก จนวันนี้เป็นตำรวจที่ศูนย์ฝึกภาค 1 มันมีมูลค่าไหมครับการให้แบบนี้ มีมูลค่ามากกว่าที่เราให้ไปเสียอีก”
เมื่อต้นเดือน ธ.ค. 2560 ร.ต.อ.อภิชิต ได้ยื่นใบลาออกจากราชการ เพราะต้องการทุ่มเทการเรียนการสอนให้กับเด็กๆ แต่มีผลบังคับเมื่อต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.อภิชิต ส่งสำนวนคดีล่าช้าถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายสูงถึง 1 แสนบาท เพราะมีเวลาว่างแทนที่จะใช้เวลาทำสำนวนคดี แต่กลับนำเวลาไปใช้สอนเด็กๆ จึงไม่มีใครรู้ถึงผลกระทบเท่าตัวเขาเอง อีกทั้งถ้าเด็กๆ ที่มีความตั้งใจและขยันอ่านหนังสือเหล่านี้ ตลอดทั้งพลาดโอกาสทบทวนความรู้จากตน การอ่านหนังสือทั้งหมดก็จะสูญเปล่า แม้จะอ่านหนักเท่าไรก็ตาม แต่หากเด็กได้มีโอกาสทบทวนการเรียนการสอนโอกาสที่จะสอบไปเรียนระดับปริญญาย่อมมีสูงมากกว่า
“ผมยอมลาออกจากตำรวจ ทั้งๆ ที่ผมรักอาชีพตำรวจนะ แต่ว่ากฎหมายคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ การทำงานมันเป็นแบบนั้น ส่วนการเป็นครูเรามีสิทธิสั่งสอนให้เด็กเป็นคนดีตั้งแต่เริ่มต้น เพียงแค่ใส่ใจเขาเหมือนลูก ถ้าเด็กมีพฤติกรรมเสี่ยงก็ช่วยแก้ให้เขา เพราะเราไม่ได้ให้เขาแค่วิชาความรู้ แต่เราให้จิตวิทยาการอยู่ในสังคมด้วย ผมสัญญาว่าจะพยายามทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด ตัวผมเองไม่ว่ายืนอยู่จุดไหนก็คือผมคนเดิมครับ ผมเคยเป็นเด็กเกเรมาก่อน วันหนึ่งคิดได้ เป็นผมอยู่ทุกวันนี้ ไม่จำเป็นเลยว่าเด็กจะจนหรือรวย ขอแค่เป็นคนดี ทุกคนมีคุณค่า คุณค่าของคนวัดกันที่ไหน วัดกันที่เด็กๆ ทำอะไรให้กับสังคม ถ้าคืนกำไรให้สังคม เขาจะมีคุณค่ามหาศาล”
ทำไมละทิ้งความก้าวหน้าในอาชีพที่ถือเป็นเรื่องหลัก และสอนหนังสือเป็นหน้าที่รอง ซึ่ง ร.ต.อ.อภิชิต กล่าวว่า สำหรับเขาแล้วไม่มีเรื่องใดเป็นเรื่องหลัก เรื่องรอง ถ้าทุกคนคิดแต่จะแข่งขันกันเพื่อประสบความสำเร็จ เพียงให้มีหน้ามีตาในสังคม ระยะเวลา 7 ปี ที่ร่ำเรียนจากโรงเรียนนายร้อย สิ่งที่ได้มากกว่าความรู้คือความเสียสละ ถ้าข้าราชการตำรวจหรือทหารไม่รู้จักเสียสละ สังคมและประเทศจะอยู่ได้อย่างไร ตนหวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้ จะทำให้เด็กๆ ประสบความสำเร็จและกลับมาช่วยเหลือ ถึงเวลานั้นก็จะไม่ใช่ตนเพียงผู้เดียวที่เสียสละให้สังคม
“ส่วนหนึ่งก็เสียดาย เพราะเรียนนายตำรวจมาถึง 7 ปี มาเป็นพนักงานสอบสวนอีก 5 ปี จนติดยศ ร.ต.อ. และอีกไม่นานก็จะได้เป็นสารวัตรแล้ว แต่ลึกๆ ก็คิดว่าทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะต้องการแก้ไขปัญหาสังคม ถึงแม้การติวหนังสือเด็กเพียงไม่กี่สิบคนจะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างไร ตรงนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป แต่ตนเชื่อว่าการให้โอกาส ให้ความรู้ และปลูกฝังในสิ่งที่ดีก็จะเป็นพื้นฐานในการสร้างสังคมที่ดีได้”
การเปิดบ้านสร้างฝันสอนหนังสือและติวให้เด็กยากจนฟรีนี้ ได้แรงบันดาลใจจากการที่เขาเป็นเด็กบ้านนอกลูกหลานชาวนา เห็นถึงความแตกต่างของการเรียนการสอนของโรงเรียนในเมืองกับต่างอำเภอ เพราะเด็กต่างอำเภอถ้ามีความรู้พื้นฐานไม่ดีจะสอบแข่งขันคัดเลือกศึกษาต่อจะสู้เด็กในเมืองไม่ได้ จึงต้องปูพื้นฐานให้เด็กดีก็จะมีโอกาสมากขึ้น


