ตำนานมืดของอิกคิว
ผมเคยเขียนเรื่องท่านอิกคิวไว้นานโขและสัญญากับท่านหนึ่งว่าจะเขียนประวัติยาวๆ อย่างละเอียด
โดย กรกิจ ดิษฐาน
ผมเคยเขียนเรื่องท่านอิกคิวไว้นานโขและสัญญากับท่านหนึ่งว่าจะเขียนประวัติยาวๆ อย่างละเอียด ล่าสุดเขียนเรื่องชนชั้นบุระคุมิน คุยกับผู้อ่านท่านหนึ่งว่าเคยอ่านมังงะเรื่องของอิกคิว มีตอนหนึ่งที่ท่านไปคลุกคลีกับชนชั้นล่างในสังคม ซึ่งเป็นช่วงออกจากวัดหลวงไปฝึกเซนกับท่านเคนโอใหม่ๆ ตอนนี้จะเขียนเรื่องท่านอิกคิวยาวๆ เสียที
ท่านอิกคิว โซจุน เป็นพระโอรสของจักรพรรดิโกะโคะมัตสึกับพระสนมจากตระกูลฟุจิวะระ ซึ่งเป็นสกุลทรงอิทธิพลทางการเมือง พระสนมเป็นคนโปรดขององค์จักรพรรดิ ยังความริษยาแก่องค์จักรพรรดินี จึงใส่ความพระสนมว่าเอนเอียงเข้าข้างราชสำนักฝ่ายใต้ จนถูกขับออกจากราชสำนักไปอยู่อย่างสามัญชน เรื่องนี้ต้องเท้าความก่อนว่ารัชสมัยของจักรพรรดิโกะโคะมัตสึคาบเกี่ยวกับยุคนัมโบคุโจ หรือยุคราชวงศ์เหนือใต้ ซึ่งราชสำนักเกิดการชิงอำนาจ มีผู้อ้างราชบัลลังก์สองฝ่าย คือ ฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ เกิดศึกสงครามบ่อยครั้ง ครั้นถึงยุคของโกะโคะมัตสึ ราชสำนักฝ่ายใต้ยินยอมสละอำนาจ ทำให้ญี่ปุ่นมีราชสำนักเพียงแห่งเดียว แต่ความขัดแย้งทางการเมืองก็ยังคงมีอยู่และทำให้อิกคิวกับมารดาต้องกลายเป็นสามัญชน
ใครดูการ์ตูนสมัยก่อนคงคุ้นกันดีว่า ท่านอิกคิวถูกส่งไปบวชที่วัดอังโคะคุจิในเกียวโต ซึ่งเป็นความจริงในประวัติศาสตร์ แต่ในการ์ตูนไม่ได้บอกว่าชีวิตของอิกคิวที่วัดอังโคะคุตจินั้นไม่ได้โลกสวยผ่องใสเหมือนในการ์ตูน ประการแรก อิกคิวคงไม่อยากจะบวชเท่าไรนัก แต่เป็นธรรมเนียมของชนชั้นสูงที่จะต้องส่งบุตรไปบวชเรียน เพื่อไต่เต้าขึ้นมาครองวัดครองนิกาย นัยว่าเป็นการรวบอำนาจของชนชั้นสูงทั้งทางโลกทางธรรม มารดาของท่านยังส่งไปบวชก็เพื่อให้ปลอดภัยจากการคุกคามของผู้ไม่หวังดีจากราชสำนัก ดังนั้นการบวชของท่านที่วัดอังโคะคุจิจึงไม่พึงปรารถนานัก
ที่สำคัญในยุคนั้นการเสพสังวาสในพระอารามเป็นเรื่องแพร่หลายและปฏิบัติกันทั่วไป นับตั้งแต่ยุคเฮอังแล้วที่เจ้าวัดจะเลี้ยงเด็กชายหน้าตาดีๆ ไว้คอยรับใช้ (เมืองไทยเราเรียกลูกสวาท) ในหมู่พระเณรก็เล่นสวาทกันเป็นเรื่องธรรมดา อิกคิวก็เช่นกันได้เรียนรู้การเล่นสวาทกับชายที่วัดแห่งนี้ และยังได้เขียนเพลงยาวบอกรักระหว่างคนหนุ่มไว้จำนวนหนึ่ง (ท่านใดสนใจเรื่องเหล่านี้ ผมแนะนำให้อ่านหนังสือ เรื่อง The Red Thread : Buddhist Approaches to Sexuality ท่านจะได้รับความกระจ่างมากขึ้น)
ชีวิตของอิกคิวในวัดอังโคะคุจิไม่สู้ดีนัก แม้จะมีปัญญาหลักแหลมเหมือนในการ์ตูนก็จริง แต่สังคมที่อยู่เต็มไปด้วยความฉ้อฉล พระชั้นผู้ใหญ่อวดมั่งอวดมี อวดยศช้างขุนนางพระ จนท่านเอ่ยปากว่าที่อังโคะคุจิเป็นสถานที่อันไร้ยางอาย อีกทั้งท่านยังแสวงหาอาจารย์สอนเซน จึงตัดสินใจออกมาแล้วฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านเคนโอ เพราะเลื่อมใสที่ท่านผู้นี้อยู่เพียงลำพังในวัดโทรมๆ คอยช่วยเหลือคนชั้นล่าง ที่ถูกเหยียดหยามและถูกกดขี่อย่างหนักจากพวกคนชั้นสูง แม้นตัวท่านเองมีเลือดขององค์จักรพรรดิ แต่เพราะได้ร่ำเรียนกับอาจารย์เคนโอ จึงซึมซับเอาความเห็นอกใจคนชั้นล่างเอาไว้มาก
ทว่าไม่นานนัก ท่านเคนโอมรณภาพ โดยไม่ได้สอนอะไรมากนัก อิกคิวยังรู้สึกท้อใจจนคิดฆ่าตัวตาย แต่ต่อมาคิดได้แล้วไปฝากตัวกับท่านคะโซ สำนักท่านคะโซเข้มงวดดุดันมาก นอกจากทำงานหนักแล้วต้องปฏิบัติธรรมอย่างหนัก อาหารน้อย นอนก็น้อย แต่ด้วยแรงกดดันสารพัดเหล่านี้ ทำให้อิกคิวได้ดวงตาเห็นธรรมในที่สุด ระหว่างปฏิบัติธรรมนอกสำนักบนเรือกลางทะเลสาบบิวะ ท่านคะโซผู้เป็นอาจารย์ถึงกับมอบสารตราตั้งให้เป็นธรรมทายาท แต่อิกคิวโยนตราตั้งลงกับพื้นแล้วหันหลังจากไป ท่านคะโซรำพึงว่า “อิกคิวเป็นธรรมทายาทของเรา แต่วิสัยโผงผาง”
หลังจากนั้นท่านอิกคิวออกจาริกไปทั่ว คลุกคลีกับคนจรจัด พวกยาจก คนอนาถา เป็นที่รักของพวกคณิกา เพราะท่านมักเข้าออกหอนางโลมอยู่บ่อยๆ เพราะเหตุนี้คนจึงมองว่าท่านสติไม่ดี ตัวท่านเองเรียกตัวเองว่า “เคียวอุน” หรือ “เมฆาคลั่ง” หมายถึงคนบ้าที่ล่องลอยเป็นอิสระราวกับเมฆ ด้วยความที่ท่านรักคนชั้นล่างมาก ท่านจึงมักช่วยเหลือคนเหล่านี้อยู่บ่อยๆ เพราะท่านเองก็เป็นที่ศรัทธาของพวกพ่อค้า (ซึ่งก็ถือเป็นชนชั้นล่างเหมือนกัน) เมื่อท่านได้เงินจากพวกพ่อค้า ท่านจะนำมาแจกคนยากจนอยู่เสมอ และท้าทายพวกเจ้าที่ดินชนชั้นสูงที่ชอบกดขี่ขูดรีดภาษาชาวนาชาวไร่อยู่บ่อยๆ
แม้จะคลุกคลีกับคนยากจน ที่ท่านมีฝีมือทางศิลปะและวรรณศิลป์ชั้นสูง เขียนบทกวีไว้นับพันๆ บท หลายบทกวีมิใช่ทางธรรม แต่เป็นสาส์นรักระหว่างท่านกับหญิงคณิกา โดยเฉพาะคณิกาที่ชื่อจิโกคุดะยู ที่ถือกันว่าเป็นคู่รักของท่านอิกคิว (แต่ผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะเป็นคู่บารมีโพธิสัตว์) คณิกานางนี้บรรลุธรรมหลังจากได้ปรนนิบัติท่านอิกคิว หลังจากนั้นนางจะแต่งกายด้วยกิโมโนลายภาพผีนรกหรือผีเปรต เพื่อแสดงถึงหลักอนิจจัง ผู้คนจึงเรียกนางว่า จิโกะคุ (นรก) ดะยู (คณิกา)
ที่ท่านเสพสังวาสไปทั่ว เข้าหอนางโลม มอบรักนางคณิกา ท่านว่าการสังวาสคือการเข้าถึงธรรม
แม้จะประพฤตินอกลู่นอกทาง แต่ผู้คนเชื่อว่าท่านมีภูมิธรรมสูง ในเวลาต่อมาจึงอาราธนาให้ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสหลายแห่ง แต่ท่านอยู่ไม่ติดที่สักแห่ง มาปักหลักที่วัดไดโตะคุจิ เอาในช่วงปลายชีวิตโดยที่ท่านไม่ค่อยอยากจะรับนัก แต่ก็รับมาและถือเป็นบูรพาจารย์สำนักเซนเห็นไดโตะคุจินับแต่นั้น ท่านมรณภาพในปี 2025 รวมอายุ 87 ปี
เรื่องภูมิธรรมของท่านอิกคิวและพฤติกรรมของท่านั้นยังเป็นปริศนา ชาวพุทธฝ่ายเถรวาทย่อมมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะรับได้ แม้แต่ฝ่ายมหายานเช่นในจีนและเกาหลีเองก็ไม่อาจรับได้ สำนักเซนญี่ปุ่นบางแห่งก็รับไม่ได้ เพราะท่านเล่นเสพสังวาสทั้งหญิงทั้งชาย เขียนเพลงยาวแสดงรักและอาลัยอยู่ไม่น่อย แต่นี่เป็นลักษณะพิเศษของพุทธศาสนาในญี่ปุ่นที่มีความยืดหยุ่น (หรือหย่อนยาน) มาก อย่างไรก็ตาม บางท่านเทียบว่าพฤติกรรมของอิกคิวคล้ายกับจริยาของคุรุฝ่ายวัชรยานมากกว่าจะเป็นเซน ซึ่งก็น่าคิดอยู่ไม่น้อย
ถ้าคิดจะเข้าใจท่านอิกคิว บางทีลิขิตฉบับสุดท้ายของมารดาอาจช่วยไขความกระจ่างได้ ในปัจฉิมลิขิตนั้นพระสนมสอนว่า
“ ... คำสอนของพระพุทธองค์ก็เพื่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้รู้แจ้งเห็นจริง หากลูกยึดติดกับวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ลูกก็ไม่ผิดอะไรกับสัตว์ตัวน้อยที่หลงงมงายในอวิชชา พระพุทธธรรมนั้นมีถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ หากลูกศึกษาทั้งหมดแล้วยังไม่พบพุทธภาวะในตัวเอง ลูกก็จะไม่เข้าใจอะไร แม้แต่ความนัยของจดหมายฉบับนี้ นี่คือความตั้งใจและคำกล่าวสุดท้ายของแม่...”
อาจเป็นเพราะคำสั่งเสียของมารดา ทำให้ท่านเลือกที่จะใช้วิธีที่ประหลาดในการสอนธรรมะก็เป็นได้


