posttoday

รื้อ"กฎหมายขายฝากที่ดิน" แก้ปัญหาประชาชนที่ดินหลุดมือ

01 พฤษภาคม 2561

รัฐบาลเดินหน้ายกเครื่องกฎหมายขายฝากที่ดิน หวังแก้ปัญหาประชาชนที่ดินหลุดมือ เตรียมชง ครม.อนุมัติกฎหมายควบคุมภายใน 1-2 เดือ

รัฐบาลเดินหน้ายกเครื่องกฎหมายขายฝากที่ดิน หวังแก้ปัญหาประชาชนที่ดินหลุดมือ เตรียมชง ครม.อนุมัติกฎหมายควบคุมภายใน 1-2 เดือน

********************

โดย...อนัญญา มูลเพ็ญ

รัฐบาลเดินหน้ายกเครื่องกฎหมายขายฝากที่ดิน หวังแก้ปัญหาประชาชนที่ดินหลุดมือ เตรียมชง ครม.อนุมัติกฎหมายควบคุมภายใน 1-2 เดือน พร้อมตีกรอบสัญญาขายฝากต้องเป็นธุรกิจควบคุม หลังเป็นปัญหาแก้มา 50 ปี ไม่สำเร็จ

กอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบร่างกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการดูแลประชาชนผู้ที่มีรายได้น้อยและขับเคลื่อนการทำงานของรัฐบาลเข้าสู่ยุคดิจิทัลรวม 3 ฉบับ คือ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย ร่าง พ.ร.บ.การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการปลูกไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ให้ประชาชนสามารถตัดได้ และร่าง พ.ร.บ.รัฐบาลดิจิทัล โดยกฎหมายแต่ละฉบับจะทยอยเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบได้ภายใน 1-2 เดือนนี้

สำหรับ พ.ร.บ.คุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินฯ ซึ่งเป็นการยกร่างกฎหมายขึ้นใหม่ เพื่อช่วยเหลือประชาชนจำนวนมากที่ประสบปัญหาที่ดินหลุดมือจากการขายฝาก มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การขายฝากเป็นธุรกิจคุ้มครองของผู้บริโภค โดยกำหนดให้เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา ซึ่งจำเป็นต้องมีการดูแลสัญญา ต้องทำเป็นหนังสือที่ได้รับการตรวจสอบเนื้อหาของสัญญาจากนิติกร หรือพนักงานที่ดินก่อนนำจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน มีรายละเอียดทั้งชื่อของคู่สัญญา แหล่งที่ตั้ง จำนวนสินไถ่อัตราดอกเบี้ย วันกำหนดการชำระ โดยจะไม่มีการทำสัญญาแบบลอยๆ อย่างในอดีตอีกต่อไป

ทั้งนี้ ยังกำหนดให้เมื่อทำสัญญาขายฝากแล้ว และมีการทำสัญญาเพิ่มเติม เช่น การสละสิทธิในการไถ่ถอนนั้น ไม่สามารถทำได้ เพราะที่ผ่านมาพบปัญหาว่าเมื่อมีการทำสัญญาขายฝากในวันจันทร์แล้ว วันพุธทำสัญญาสละสิทธิ ถือเป็นความตั้งใจแต่ต้นว่าจะทำให้ที่ดินหลุดมือตั้งแต่ต้น พร้อมกับกำหนดให้การทำสัญญาขายฝากมีระยะเวลาที่กำหนดไว้ชัดเจน เช่น ระยะเวลาในการไถ่ต้องไม่ต่ำกว่า 1 ปี หรือ 1 ปี 6 เดือน เนื่องจากสัญญาขายฝากปัจจุบันทำไว้ระยะสั้นเพียง 3 เดือนเท่านั้น ถือเป็นการตั้งใจทำให้มีการทำสัญญาใหม่บ่อยๆ ทุกครั้งที่ทำสัญญาก็ต้องจ่ายเงินค่าทำสัญญา 4-5 หมื่นบาท อีกทั้งการทำสัญญาระยะสั้นก็ไม่สอดคล้องกับการเพาะปลูก ทำให้เกษตรกรไม่มีเงินมาจ่ายและผิดสัญญา

ส่วนกรณีที่ประชาชนมีความต้องการไถ่ถอนสินทรัพย์ แม้ว่าจะมีเงินไปพร้อมไถ่ถอนแล้ว แต่กลับพบว่าหาคู่สัญญาไม่เจอ หรือบางรายหนีไปต่างประเทศ เพื่อให้เกิดการผิดสัญญา ซึ่งตามปกติจะต้องเดินทางไปแจ้งกับสำนักงานวางทรัพย์ที่อยู่ในจังหวัด ทำให้บางคนเดินทางไปไม่ได้ หรือเดินทางไปยากลำบาก

ดังนั้น ตามกฎหมายใหม่ก็อนุญาตให้ใช้ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นสถานที่รับแจ้งการนำเงินมาไถ่สินทรัพย์ได้ เพื่อให้มีหลักฐานในการไถ่ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนได้รับการปกป้องดูแล และได้รับความยุติธรรม ส่วนกระทรวงการคลังเองก็พร้อมช่วยเหลือเรื่องแหล่งเงินด้วย

ทั้งนี้ ปัญหาเกี่ยวกับประชาชนได้รับความเดือดร้อนนี้ มีความพยายาม ออกกฎหมายมาควบคุมมาเกือบ 50 ปีตั้งแต่ปี 2516 แต่ก็ไม่ประสบความเสร็จ ครั้งนี้จึงเป็นการพยายามใหม่ เพราะปัจจุบันประเทศไทยมีที่ดินทำกินรวม 300 ล้านไร่ ในจำนวนนี้มีที่ดินที่ทำการเกษตร 150 ล้านไร่ และครึ่งหนึ่งของ 150 ล้านไร่ เป็นที่ดินที่เกษตรกรเช่าที่ดินคนอื่น หมายถึงเกษตรกรส่วนนี้ได้สูญเสียที่ดินไปเรียบร้อยแล้วจากกระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมา โดยส่วนที่เหลืออีก 70 ล้านไร่นั้น จำนวนนี้ประมาณ 30 ล้านไร่ อยู่ในการจำนองและอยู่ในการขายฝากซึ่งที่ดินที่การขายฝากอาจมีอยู่หลายแสนไร่ และมีโอกาสหลุดมือสูง เนื่องจากนายทุนหลายคนอาศัยกฎหมายฉบับเดิมเป็นช่องในการเอาที่ดินจากประชาชนโดยที่ไม่คิดจะเอาดอกเบี้ย

กอบศักดิ์ กล่าวว่า กฎหมายฉบับที่ 2 คือ การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการปลูกไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ให้ประชาชนสามารถตัดได้ ถือเป็นการช่วยสร้างอาชีพทางเลือกให้เกษตรกรมีอาชีพมั่นคงจากการปลูกป่า สร้างสวนป่าชุมชนได้ หรือมีการออมเงินด้วยการปลูกต้นไม้ โดยสามารถปลูกต้นไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจ ทั้งพะยูง สัก หรือชิงชัน และตัดได้ ซึ่งจากนี้ทางกรมป่าไม้จะกลับไปพิจารณารายละเอียดของการดำเนินการต่อไป

ส่วนฉบับที่ 3 คือ ร่าง พ.ร.บ.รัฐบาลดิจิทัล จะเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานภาครัฐครั้งสำคัญของประเทศให้ประชาชนสามารถเข้ามารับบริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งจากนี้ไปจะมีการออก พ.ร.ก.สำนักงานรัฐบาลดิจิทัล เพื่อให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) มาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรี

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี