จองโรงแรม-ที่พักผ่าน OTA เราจ่ายภาษีเงินได้ให้ใคร?
ปัจจุบันนี้ผู้บริโภคจองโรงแรมที่พักผ่านช่องทางออนไลน์ ตลอดจนซื้อสินค้าและบริการผ่านออนไลน์
โดย สมาคมโรงแรมไทย
ปัจจุบันนี้ผู้บริโภคจองโรงแรมที่พักผ่านช่องทางออนไลน์ ตลอดจนซื้อสินค้าและบริการผ่านออนไลน์ เพราะมีตัวเลือกของสินค้าและบริการเพิ่มมากขึ้น การใช้งานเริ่มคงเส้นคงวา และที่สำคัญมีความสะดวกขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
แต่ถ้าได้ตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ผลิตสินค้าและบริการ รวมทั้งต่อการจัดเก็บภาษีของภาครัฐอาจต้องนำหลายปัจจัยมาพิจารณา
จะขอกล่าวถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นในการจองโรงแรมและที่พัก เพื่อจะได้พิจารณาก่อนการจองห้องพักครั้งต่อไป โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาผสมกับไอเดีย Sharing Economy หรือแนวคิดสังคมเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน ทำให้เกิดทางเลือกในการจองห้องพักแบบใหม่ๆ
ในอดีตการจองโรงแรมมักจองผ่าน 3 ทางหลักๆ 1) จองตรงที่โรงแรม 2) จองผ่านบริษัททัวร์ หรือ 3) จองกับกรุ๊ปทัวร์ต่างๆ แต่ในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาผู้บริโภคมีทางเลือกใหม่คือจองผ่านทางออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันนี้มีผู้จองห้องพักผ่านทางออนไลน์มากถึง 40% โดยกลุ่มลูกค้าที่นิยมใช้ช่องทางนี้ส่วนใหญ่อยู่ในวัย 20-45 ปี โดยจะใช้โทรศัพท์มือถือเป็นหลัก
สมาคมโรงแรมไทยมีข้อมูลยืนยันว่า ประมาณ 1 ใน 3 ของกลุ่มนี้ ลูกค้าจะจองผ่านหน้าเว็บไซต์ของโรงแรม และที่เหลือจะจองผ่าน Online Travel Agent (OTA) หลักๆ ได้แก่ Booking.com, Agoda.com หรือ Expedia.com และจากการเฝ้าติดตามของสมาคมโรงแรมไทยเห็นว่าการจองผ่าน OTA เหล่านี้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับช่องทางอื่นๆ ซึ่งถ้าแนวโน้มการขยายตัวของช่องทางนี้ยังเพิ่มแบบต่อเนื่อง การจองผ่าน OTA ที่กล่าวถึงนี้จะกลายเป็นช่องทางหลักในการจองโรงแรมและที่พักในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน
เหล่า OTA ที่ครองตลาดหลักๆ นั้นมีอยู่แค่ไม่กี่ราย ได้แก่ บริษัท บุ๊คกิ้ง โฮลดิ้ง ที่จดทะเบียนการค้าในสหรัฐ เป็นเจ้าของ Booking.com, Priceline.com, Agoda.com และ Kayak ในขณะที่บริษัท Expedia เป็นเจ้าของ Expedia.com, Hotels.com, Travelocity and Orbitz ซึ่งก็จดทะเบียนในอเมริกาเช่นกัน
ยังไม่พอแค่นั้น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี Metasearch จะช่วยให้เว็บไซต์ Kayak สามารถรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อหาราคาที่ถูกที่สุดของห้องพัก ตั๋วเครื่องบิน ค่าเช่ารถมาให้ลูกค้าเลือกสรรได้ตามสะดวก
เว็บไซต์ TripAdvisor ที่เริ่มต้นจากการให้ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวและรีวิวโรงแรม ขณะนี้ยังได้เพิ่มบริการเสริมในการจองห้องพักอีกด้วย แถมด้วยโปรแกรม Siri บนมือถือที่สามารถช่วยหาห้องพักให้คุณได้ ช่างสะดวกสบาย ง่ายดายสำหรับลูกค้าได้จับจ่ายใช้สอยกันแทบตลอดเวลา
แล้วมีผลกระทบอย่างไร เงินภาษีที่รัฐไทยควรได้กลับเสียไปให้ชาติอื่นใช่หรือไม่
OTA ทำหน้าที่แนะนำลูกค้าให้โรงแรม เช่น เว็บไซต์อย่าง Booking.com ช่วยลูกค้าหาโรงแรมในเมืองที่ต้องการและราคาที่ลูกค้าพอใจจะจ่าย จากนั้นลูกค้าชำระเงินผ่านทางบัตรเครดิตไปที่โรงแรม ราคาห้องพักจะรวมค่าบริการและค่าภาษีเช่นเดียวกันกับที่ลูกค้าจองห้องพักตรงกับโรงแรม ในการนี้ Booking.com จะได้รับค่าคอมมิชชั่นจากโรงแรมเป็นค่าตอบแทนจากการแนะนำลูกค้าไปให้ ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีจะอยู่ที่ 5-10% ซึ่งดูยุติธรรมดีกับทั้งสองฝ่าย
แต่บัดนี้เมื่อบรรดา OTA มีอำนาจต่อรองสูงขึ้นมาก เพราะ OTA ลงทุนใช้งบโฆษณากระตุ้นการขายนับพันล้านบาท บรรดาโรงแรมและที่พักทั้งหลายต่างก็ไม่สามารถกล่าวปฏิเสธ OTA ทำสัญญากับบรรดาโรงแรมเพื่อพยายามให้ได้ราคาขายเดียวกัน ในขณะที่ปรับขึ้นค่าคอมมิชชั่นซึ่งบางครั้งสูงถึง 30% ของราคาห้องพัก เช่น ห้องพักโรงแรมราคา 4,000 บาท/คืน OTA จะได้ค่าคอมมิชชั่นถึง 1,200 บาท ซึ่งเจ้าของโรงแรมต้องแบกรับภาระนี้
นอกจากนี้ เจ้าของโรงแรมยังมีหน้าที่ต้องชำระภาษีรายได้นิติบุคคลแก่รัฐบาลไทยเพื่อนำไปพัฒนาสาธารณูปโภครองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วย ขณะที่ OTA มีหน้าที่เพียงเสียภาษีให้กับรัฐบาลประเทศที่บริษัทจดทะเบียนซึ่งไม่ใช่ประเทศไทย
ใครกันที่จ่ายค่าบำรุงรักษาสาธารณูปโภคที่ใช้ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
ลูกค้าที่จองห้องพักผ่านเว็บไซต์ Airbnb อาจรู้สึกดีที่ได้จ่ายค่าห้องให้กับเจ้าของบ้าน ในขณะที่เงินภาษีจากค่าคอมมิชชั่นและค่าบริการของ Airbnb จะถูกส่งไปชำระให้ประเทศอื่น ส่วนประเทศไทยไม่ได้รับค่าภาษีใดๆ แม้ว่ารัฐต้องทุ่มใช้เงินภาษีเพื่อซ่อมแซมสาธารณูปโภคไว้บริการนักท่องเที่ยวของธุรกิจตามแนวทาง “Sharing Economy” มากเพียงใดก็ตาม
เรื่องนี้นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ถึงขนาดเกิดการต่อต้านในเมืองท่องเที่ยวหลักๆ ของโลก เช่น เมืองซานฟรานซิสโก ที่ Airbnb ถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งขณะนี้ Airbnb ต้องยอมจัดเก็บภาษีผู้เข้าพักเพื่อส่งให้รัฐบาลเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
ขณะเดียวกัน พบว่าบนหน้าเว็บไซต์ของ Airbnb จะปรากฏให้เห็นว่า มีเพียง 41 รัฐของสหรัฐ และอีก 9 ประเทศทั่วโลกที่ Airbnb ตกลงกับรัฐบาลจะจัดเก็บภาษีการเข้าพักชำระแก่รัฐ ซึ่งน่าเสียดายที่ในรายชื่อเหล่านั้นยังไม่ปรากฏชื่อประเทศไทยรวมอยู่ด้วย
สรุปได้ง่ายๆ ว่า บรรดาลูกค้าที่จองผ่าน Airbnb เหล่านั้น ไม่ได้มีส่วนร่วมในการชำระภาษีเพื่อช่วยทำนุบำรุงประเทศไทยของเราแต่อย่างได
มีความหวังจะมีกฎหมายไล่ตาม OTA และ Airbnb หรือไม่
การเข้าพักโรงแรมที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่แค่เพียงแต่ได้จ่ายค่าโลเกชั่น ค่าห้องพักที่สะดวกสบาย อาหารและการบริการเท่านั้น แต่เรายังได้จ่ายค่าการรักษาความปลอดภัยทั้งต่อร่างกายและทรัพย์สิน ได้จ่ายค่ารักษาความเป็นส่วนตัวตามกฎหมายในประเทศไทย โรงแรมต้องจดทะเบียนให้ถูกต้อง โรงแรมต้องบันทึกและรายงานบัญชีรายชื่อแขกผู้เข้าพักต่อเจ้าพนักงานของรัฐ ต้องปฏิบัติและถูกตรวจสอบประเมินสถานที่เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของลูกค้าอย่างเข้มงวด
ส่วนเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในไทยกฎหมายกำหนดให้ต้องขออนุญาตสร้างอาคาร แต่ไม่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องจดทะเบียนเหมือนโรงแรม และให้ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับเดียวกันกับคอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์เท่านั้น ซึ่ง Airbnb และธุรกิจประเภทเดียวกันนี้ไม่มีกฎหมายบังคับการทำประกันภัย การสร้างความมั่นใจแก่ผู้เข้าพัก มีแค่เรตติ้งจากผู้เข้าพักรายก่อนๆ เท่านั้น
แต่น้อยคนนักที่จะให้คะแนนด้านความปลอดภัยได้ถูกต้อง ทั้งความเป็นส่วนตัวที่ผู้เข้าพักไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะมีใครอื่นมีกุญแจเข้าห้องพักนี้ได้อีกหรือไม่ แถมบางแห่งอาจติดกล้องวงจรปิดโดยไม่แจ้งผู้เข้าพักอีกด้วย ดังนั้นการที่ลูกค้าเข้าถึงเทคโนโลยีที่ก้าวไกล รัฐบาลก็ต้องปรับเปลี่ยนกฎหมายให้ทันการณ์ด้วย
ทั้งนี้ ในฐานะผู้บริโภคและผู้สนับสนุนผลักดันกฎหมาย ขอปิดท้ายด้วย 2 ข้อเสนอ ไว้พิจารณา ดังนี้
1.ผู้บริโภคสามารถเข้าไปเช็กข้อมูลจากหน้าเว็บไซต์ต่างๆ รวมทั้งของ OTA ทั้งหลายเพื่อเปรียบเทียบข้อเสนอและราคาได้ เมื่อตัดสินใจเลือกได้แล้ว ขอแนะนำให้ทำการจองที่เว็บไซต์ของโรงแรม เนื่องจากในเว็บของโรงแรมจะให้รายละเอียดทั้งหมดที่จำเป็นต่อการเข้าพัก และรับรองได้ว่าจะได้ราคาเดียวกับที่ได้รับข้อเสนอจาก OTA อย่างแน่นอน
นอกจากนี้แล้วบางโรงแรมจะมีโปรแกรมพิเศษสำหรับสมาชิก เมื่อสมัครเข้าร่วมโปรแกรมสมาชิก โรงแรมมักจะมีข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมให้อีกด้วย และที่สำคัญที่สุด เงินค่าบริการห้องพักที่ชำระส่วนหนึ่งจะเป็นภาษีของรัฐเพื่อนำไปใช้พัฒนาสาธารณูปโภคประเทศอีกด้วย
2.สนับสนุนการปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของโลก จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่ทันการณ์บังคับใช้เหมือนเช่นประเทศอื่นๆ ในยุโรป อเมริกา และในเมืองหลักๆ ของเอเชีย
ทั้งนี้ทั้งนั้นสมควรอย่างยิ่งที่จะได้มีการปรับแก้กฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้องเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และสร้างความยุติธรรมแก่ผู้ประกอบการทั้งรายเก่ารายใหม่ให้ทำธุรกิจร่วมกันอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม


