ตันตระสายเถรวาท
ผมมีความสนใจเรื่องไสยศาสตร์เป็นพิเศษ มักจะเสาะแสวงหาตำราของคณาจารย์ไทยกับงานวิจัยฝรั่งมาอ่านให้ประเทืองปัญญาเรื่องอาจารย์ไทยไม่ใช่ปัญหาเพราะมีเยอะแยะ
โดย กรกิจ ดิษฐาน
ผมมีความสนใจเรื่องไสยศาสตร์เป็นพิเศษ มักจะเสาะแสวงหาตำราของคณาจารย์ไทยกับงานวิจัยฝรั่งมาอ่านให้ประเทืองปัญญาเรื่องอาจารย์ไทยไม่ใช่ปัญหาเพราะมีเยอะแยะ แต่ฝรั่งที่สนใจศาสตร์พวกนี้แบบเป็นวิชาการมีน้อย เท่าที่ทราบผมรู้จักคนเดียวคือ ฟร็องซัว บิโซต์ (François Bizot) ชาวฝรั่งเศสที่ศึกษาศาสตร์ลี้ลับในกัมพูชา และเป็นฝรั่งคนเดียวที่รอดชีวิตจากคุกนรกตวลสเล็งในยุคเขมรแดง ชีวิตของ บิโซต์ หวือหวาสุดๆ ยังกับอินเดียนา โจนส์
บิโซต์ น่าจะเป็นคนแรกที่กำหนดคำว่า ตันตระสายเถรวาท (Tantric Theravada) คือการสัมฤทธิ์จากปฏิบัติการทางจิต (โยคะ) หรืออำนาจพระรัตนตรัย (พุทธคุณ) มาช่วยส่งเสริมการปฏิบัติธรรมหรือแม้แต่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก บิโซต์ เรียกผู้ปฏิบัติสายนี้ว่า โยคาวจร หมายถึงผู้ปฏิบัติโยคะ คำคำนี้ปรากฏในตำรากรรมฐานโบราณของไทย กัมพูชา และลาว เป็นต้นหมายถึงผู้ปฏิบัติโยคะเพื่อมุ่งสู่นิพพาน
การฝึกโยคะแต่โบราณเน้นฝึกจิต ส่วนการฝึกโยคะทางกายสืบทอดมาในหมู่แพทย์ เช่น หมอนวดแผนไทย ปัจจุบันนี้เราไปเรียนโยคะของฝรั่งที่รับมาจากอินเดียอีกทอด โดยลืมไปว่าไทยมีโยคะศาสตร์มาแต่โบราณ
โยคะฝ่ายจิตไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะจิตมันวุ่นวายเหมือนลิงพันตอ จึงต้องอาศัยเครื่องมือสะกดจิต เช่น อักขระธรรม คัมภีร์เคล็ดวิชา เช่น คัมภีร์ปถมัง ซึ่งเริ่มจากการเขียนพินทุ (จุดกำเนิด) จบที่เขียนสูญนิพพาน (จุดสิ้นสุด)
วิชานี้ชายชาตรีแต่โบราณต้องเรียนไว้รวมกาย วาจา ใจไว้เป็นหนึ่ง คือ ปากท่อง มือเขียน ใจจดจ่อ เขียนพินธุ นะโมพุทธายะฯลฯ จนตัวหนังสือทะลุไปโผล่อีกฟากของกระดาน แสดงว่าใช้การได้แล้ว หากวาสนาแค่นี้ก็มักใช้อภิญญาปลุกเสกไปตามเรื่อง แต่ส่วนใหญ่เมื่อเรียนถึงสูญนิพพานแล้วท่านจะซึ้งในศูนยตา บรรลุธรรมกันไปเลย
จะเห็นได้ว่าคัมภีร์ตันตระของฝ่ายพุทธ เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์เป็นแค่ผลพลอยได้ เป้าหมายคือการรู้ทันจิตเพื่อบรรลุนิพพาน ไม่ใช่เอาไว้เล่นกลหลอกใคร หากไม่หวังบรรลุธรรมแต่หวังทางโลกเมื่อคุมกระบวนโยคะได้ ใจจะเข้มแข็ง ทางวิชามวยไทยโบราณเข้าเน้นจุดนี้กันมาก เตะต่อยเท่าไรก็ไม่ล้มหรอกครับถ้าคุมจิตได้ แม้แต่พวกโขนละครเขาก็เรียนวิชาเมตตามหานิยมกัน เพื่อสะกดจิตให้คนชอบคนหลง
ฝ่ายพระโยคาวจรของเถรวาทก็เหมือนกับสำนักโยคาจารของมหายาน คือเห็นว่าจิตเป็นใหญ่ จิตคือผู้สร้างและดับทุกสิ่งทุกอย่าง คุมจิตได้ก็คุมกำเกิดและจุดจบได้ ดังในคัมภีร์ปถมังนั่นเอง
เรื่องโยคะ (การปฏิบัติทางจิต) ใครสงสัยต้องปฏิบัติเองครับดังคำพระท่านว่า “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ” แปลว่า พระธรรมอันผู้บรรลุจะพึงรู้เฉพาะตัว หากเถียงกันในทางตรรกะจะป่วยการเปล่าๆ เว้นแต่จะคุยกันในทางวิชาการ
อนึ่ง การสืบทอดฝ่ายพระโยคาวรเถรวาท ฟร็องซัว บิโซต์คาดว่ามาจากสำนักอภัยครีวิหารในลังกาทวีป ซึ่งนิยมฝ่ายมหายาน แต่ต่อมาถูกฝ่ายมหาวิหารกล่าวหาว่านอกรีตจึงถูกกำจัดสิ้น คาดว่าพวกอภัยครีวิหารคงหนีมาสุวรรณภูมิพร้อมคัมภีร์ลี้ลับ (คุฬหคันถะ) ในกาลต่อมา ฝ่ายโยคาวจรนี้สืบทอดในคณะสงฆ์ดั้งเดิม (มหานิกาย) ส่วนฝ่ายปฏิรูป (ธรรมยุติกนิกาย)แทบไม่แยแสเอาเลย ซ้ำยังประสานเสียงกับวิทยาศาสตร์แบบตะวันตกเสียอีก
านเราลืมรากเหง้า ลืมวิชาที่บรรพชนถ่ายทอดไว้ ทั้งยังไพล่ไปเรียกตันตระแบบพุทธว่าไสยศาสตร์อีกซึ่งผิดมหันต์ เพราะไสยศาสตร์ (วิชาไสย์ ศาสนาไสย์) นั้นหมายถึงศาสนาพรามหณ์ ตำราโบราณก็กำหนดชัด แต่เพราะอคติและความไม่รู้ของคนสมัยนี้ ดันเอาไสย์มาผสมกับพุทธ ทั้งที่ตันตระแบบพุทธคือการพัฒนาตัวเองไปสู่เป้าหมายสูงสุดอยู่ที่นิพพาน ส่วนไสย์อยู่ที่การภาวนาอ้อนวอนเทพยดา
คนไทยส่วนใหญ่แยกแยะไม่ได้ครับ คงมีแต่ ฟร็องซัว บิโซต์ที่มองออกและให้นิยามอย่างเด็ดขาดให้รู้กันชัดๆ ว่า พุทธกับไสย์มันคงละอย่างกัน


