posttoday

14 ปีไฟใต้ มองความรุนแรงผ่านงานศิลป์

18 มีนาคม 2561

14 ปีแล้วที่เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงร่ำไห้ อื้ออึงไปทั่วแผ่นดินปลายด้ามขวาน สถานการณ์ความรุนแรงที่เริ่มปะทุขึ้นตั้งแต่ปี 2547

โดย อับดุลเลาะ เบ็ญญากาจ

14 ปีแล้วที่เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงร่ำไห้ อื้ออึงไปทั่วแผ่นดินปลายด้ามขวาน สถานการณ์ความรุนแรงที่เริ่มปะทุขึ้นตั้งแต่ปี 2547 ล่วงมาจนถึงปัจจุบันแม้เบาบางลดน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะยุติหมดสิ้นไป

ความรุนแรงที่ก่อตัว ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนชายแดนใต้ จากความสนใจจดจ่ออยู่กับวัฒนธรรม ศาสนา และการทำมาหากิน ซึ่งเป็นวิถีชีวิตแบบเดิมก่อนหน้านี้ ก็เปลี่ยนมาเป็นความสนใจกับสถานการณ์ ความหวาดระแวงอันตรายรอบตัว สิ่งเหล่านี้ถูกนำมาถ่ายทอด สะท้อนมุมมอง ความคิด และความรู้สึกผ่านงานศิลป์ โดย เจะอับดุลเลาะ เจ๊ะสอเหาะ อาจารย์ประจำภาคสาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) ที่หอศิลป์กลางทุ่งนา ในพื้นที่ ต.ดอนรัก อ.หนองจิก จ.ปัตตานี

ภาพที่น่าสนใจก็คือภาพผู้หญิงคลุมศีรษะ เหลือเพียงดวงตาสองข้างที่ล้อมรอบด้วยภาพลูกระเบิดและกระสุนปืน เจะอับดุลเลาะ อธิบายว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าอะไรคือสัญลักษณ์ของความรุนแรง ระหว่างผู้หญิงมุสลิมที่คลุมศีรษะ กับคนที่พกพาอาวุธตามที่สาธารณะที่พบเห็น หลังจากที่เกิดกระแสต่อต้านสตรีมุสลิมที่คลุมฮิญาบว่าเป็นสัญลักษณ์ของการก่อการร้าย แต่กลับไม่มองบุคคลที่พกพาอาวุธว่านั้นคือสิ่งที่น่ากลัว

“สังคมเราเองมีการนำอาวุธยุทธภัณฑ์ของทหาร นำรถถัง เครื่องยิงปืนใหญ่ขนาดต่างๆ เอาออกมาโชว์ให้เด็กมาดูในงานวันเด็ก นี่ไม่เท่ากับเป็นการปลูกฝังให้เด็กนิยมความรุนแรงแบบตั้งใจหรอกหรือ แต่กลับมองผู้หญิงที่มีเพียงผ้าคลุมศีรษะน่ากลัว ทั้งที่ไม่ได้มีอาวุธแม้กระทั่งมีด”

14 ปีไฟใต้ มองความรุนแรงผ่านงานศิลป์

นอกจากนั้น ยังมีภาพต้นไม้ใหญ่ซึ่งแผ่กิ่งก้านเต็มไปด้วยดอกและผลที่เป็นลูกระเบิดและอาวุธปืน สะท้อนให้เห็นว่าดินแดนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่อุดมด้วยทรัพยากรทั้งทางบกและทางน้ำ ประชาชนมีความมั่นคงด้านทรัพยากร ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ประชาชนมีความสุขกับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม แต่ปัจจุบันพื้นที่สามจังหวัดกลายเป็นสนามรบ กลายเป็นพื้นที่ที่ใช้ความรุนแรง

อีกมุมมองที่น่าสนใจผ่านงานศิลป์ ภาพเขียนบนไหดินเผาที่เรียงซ้อนสูงเป็นแนวตั้งมีภาพวาดเป็นรูปลูกระเบิดและอาวุธปืนรอบไหบรรจงอย่างสวยงาม เจะอับดุลเลาะ บอกว่า ไหคือวิถีชีวิตของคนที่นี่ ลวดลายรอบไหที่เป็นรูประเบิด อาวุธปืนนั้นคือการใช้ความรุนแรง การฆ่าฟัน การทำสงครามการต่อสู้ แย่งชิงผลประโยชน์จะมาแทนที่ การซ้อนเรียงสูงเป็นแนวตั้งนั้น หมายถึงการใช้วิถีชีวิตของประชาชนที่นี่เป็นเงื่อนไข เพื่อได้มาซึ่งอำนาจและผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ งบสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศก็ล้วนได้มาจากชีวิตของคนที่นี่

ใช่เพียงแต่งานวิจิตรศิลป์ บริเวณรอบบ้านสถานที่จัดแสดงงานทั้งหมด ยังมี ศิลป์ภูมิทัศน์ โดยการนำป้ายปักบนหลุมฝังศพของมุสลิม มาจัดวางโดยปักเรียงรายไว้บริเวณสระน้ำ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงเหตุการณ์ “ตากใบ”

“เป็นการทำเครื่องหมายของการสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์ที่คนไทยไม่ควรลืม เพราะมันคือพี่น้องคนไทยในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องสูญเสียจากเหตุการณ์สลายม็อบบริเวณหน้า สภ.ตากใบ เมื่อปี 2547 เพียงเพื่อเรียกร้องให้สังคมมีความตระหนักต่อการสูญเสียในครั้งนั้น งานศิลปะชิ้นนี้ได้นำไปแสดงในหลายประเทศมาแล้ว ล่าสุดกำลังเตรียมจะไปจัดแสดงอีกครั้งที่ประเทศสิงคโปร์”

14 ปีไฟใต้ มองความรุนแรงผ่านงานศิลป์

เจะอับดุลเลาะเล่าถึงการก่อตั้งหอศิลป์ท้องถิ่นว่า ได้แรงบันดาลใจตั้งแต่สมัยเรียนระดับปริญญาตรี ทัศนศิลป์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อปี 2545 ซึ่งเป็นรุ่นแรกของคณะ ในช่วงที่เรียนนั้นได้ส่งผลงานชิงทุนไปทัศนศึกษาดูงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงได้พบเห็นผลงานจากศิลปินที่มีชื่อเสียงทั่วโลก ได้เห็นงานศิลป์ยุคโบราณในแต่ละยุคสมัย และงานศิลป์ร่วมสมัย จึงได้กลับมามองบ้านตัวเองว่า บ้านเราก็มีความสำคัญทางศิลป์ เพราะเรามีรากฐาน ทางประเพณี วัฒนธรรม ความเป็น “ไทยมลายูปาตานี” ที่มีความต่างกับมลายูที่อื่น มีความไม่เหมือนกับมลายูอินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น จึงสร้างแรงบันดาลใจให้นึกอยากเป็นศิลปิน ซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่ได้คิดว่าจะกลับไปทำอะไรที่ไหน หรือจะคิดทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพียงพยายามรวบรวมเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ช่วงนั้นใช้เวลากับการเรียนเสียมากกว่า

หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี 2548 และผ่านการแสดงตามงานเทศกาลศิลปะ ในปี 2551 เขาก็ศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ช่วงก่อนเข้าเรียนได้ส่งผลงานประกวดระดับประเทศ ได้อันดับที่ 1 เงินรางวัล 2 แสนบาท และเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง

ภาพที่วาดครั้งนั้นเป็นภาพเรือกอและที่สะท้อนวิถีชีวิตของมลายูปาตานี คำว่าปาตานีมีความหมายที่ต่างจากคำว่าปัตตานี เพราะคำว่าปาตานีจะหมายถึงครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่คำว่าปัตตานีนั้นเป็นเพียงชื่อ จ.ปัตตานี จึงทำให้คณะผู้จัดงานประกวดต้องมีการเปลี่ยนชื่ออย่างกะทันหันจาก “ร้อยพิมพ์ใจจากชาวมลายูท้องถิ่นปัตตานี” มาเป็น “ร้อยพิมพ์ใจจากชาวไทยมลายูปัตตานี” เพราะชื่อมลายูท้องถิ่นปัตตานี โดยไม่มีคำว่าไทยนำหน้านั้นอาจกระทบต่อภัยความมั่นคง นี่่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของความจริงที่เกิดขึ้น

ผลงานที่ได้รางวัลครั้งนี้สร้างชื่อเสียงให้กับวงการศิลปินจากชายแดนใต้ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้น

14 ปีไฟใต้ มองความรุนแรงผ่านงานศิลป์

“การส่งงานประกวดเป็นเพียงบันไดขั้นหนึ่ง หลังจากนั้นทุกอย่างก็ถูกเก็บไว้แล้วเงียบไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เราทุ่มเทเวลา ทุ่มเทสมาธิให้กับผลงานเพื่อให้ออกมาดี แต่คุณค่าของมันกลับใช้เวลาเพียงสั้นเหลือเกิน ประกวดเสร็จแล้วก็เลิก”

ช่วงเวลาแสนสั้นของงานศิลป์ที่ส่งประกวด เป็นแรงผลักดันให้เจะอับดุลเลาะคิดสร้างหอศิลป์ เก็บผลงานส่วนตัวเอาไว้เอง โดยเริ่มแรกเมื่อปี 2556 ได้เช่าบ้านเพื่อเป็นที่ตั้งหอศิลป์ชั่วคราว ระหว่างนั้นก็ได้ทยอยสร้างอาคารขนาด 2 ชั้นเพื่อตั้งหอศิลป์ จนแล้วเสร็จในปี 2558 ก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ ณ ที่แห่งใหม่ในพื้นที่ ต.ดอนรัก อ.หนองจิก จ.ปัตตานี มีชื่อว่า “หอศิลป์ปาตานี Art Space”

ผลงานศิลปะภายในหอศิลป์ปาตานี เป็นภาพที่สะท้อนถึงเหตุการณ์ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ สะท้อนถึงปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ที่ยังคงมีมาถึงขณะนี้ 14 ปีมาแล้ว แต่ความรุนแรงก็ยังปะทุมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าว่าเหตุความรุนแรงเหล่านั้นจะยุติเมื่อไร

“ทุกคน ทุกฝ่ายต่างก็เรียกร้องสันติภาพ แต่ถ้าทุกคนยังพกถืออาวุธปืนตามท้องถนน ตามที่สาธารณะ ทุกฝ่ายยังนิยมใช้อาวุธเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหา ถามจริงเถอะ ความสงบสุขและสันติภาพมันจะยังเกิดขึ้นได้จริงหรือ ภาพเหล่านี้จึงไม่ได้มีเจตนาจะไปว่าใครหรือหน่วยงานเป็นการเฉพาะ ก็ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่หรือหน่วยความมั่นคงในพื้นที่ได้แวะมาเยือนชมผลงานภายในหอศิลป์ และได้รับการอธิบายถึงผลงานดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา บางครั้งอาจไม่พึงพอใจไปบ้าง บางครั้งมาน้อย บางครั้งมากันเป็นหมู่คณะอาจทำให้คนที่นี่ตกใจไปบ้าง นอกจากนั้นพื้นที่บริเวณหอศิลป์ได้มาเป็นที่สาธารณะ จึงอยากเปิดโอกาสให้ทุกส่วนเข้ามารังสรรค์ผลงานศิลป์เพื่อที่แสดงความสามารถของบรรดาเหล่านักศิลปินเป็นไปอย่างกว้างขวาง” เจะอับดุลเลาะบอกถึงความตั้งใจของเขา

ขณะเดียวกัน 12 มี.ค.ที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบการหายตัวไปของ สมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันนานถึง 14 ปีเต็ม กลุ่มทนายความมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับองค์กรหลายองค์กรที่เป็นภาคประชาสังคม จัดให้มีการเสวนา งานรำลึก 14 ปี การจากไปของทนายสมชาย ที่ศูนย์เซ็นเตอร์ปัตตานี หรือสำนักงานคณะกรรมการอิสลามหลังเก่า อ.เมือง จ.ปัตตานี

14 ปีไฟใต้ มองความรุนแรงผ่านงานศิลป์

อนุกูล อาแวปูเตะ หรือทนายกอฮา ประธานศูนย์ทนายความมุสลิมประจำจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า เจตนารมณ์ของทนายสมชายคือยกเลิกกฎอัยการศึกและเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการซ้อมทรมาน ซึ่งทนายสมชายได้เรียกร้องในช่วงก่อนที่จะหายตัวไป

“เราต้องการบอกสังคมว่า ที่นี่ยังมีการซ้อมทรมานเกิดขึ้นอยู่ การแก้ปัญหาความไม่สงบจะไม่สงบหากยังมีการซ้อมทรมาน ทั้งอดีตและปัจจุบันยังมีการร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง แต่ละปีมีมากกว่า 10 คดี”

อดิลัน อาลีอิสเฮาะ ทนายความประธานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมประจำจังหวัดยะลา กล่าวว่า การหายตัวไปของทนายสมชายสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดนักต่อสู้อีกหลายคน การจัดงานรำลึกก็เพื่อแสดงจุดยืนถึงการต่อสู้เพื่อให้ได้มาถึงสันติภาพและเสรีภาพ ขอเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐมีความเข้าใจตรงกันว่า ทนายสมชายเป็นนักต่อสู้ ไม่ใช่ทนายโจรอย่างที่ถูกกล่าว

14 ปีของเหตุการณ์รุนแรงชายแดนภาคใต้นับพันชีวิตที่สูญเสีย นับหมื่นชีวิตที่โศกเศร้า และอีกนับล้านชีวิตที่หวาดกลัว เพียงแต่หวังว่า วันที่สันติสุขจะกลับคืนมาสู่แผ่นดินปลายด้ามขวานนั้น คงจะไม่นานเกินไป

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี