‘ไทย’ ของจริงแท้ไม่แปรผัน
ผมรู้ครับผมรู้ บางท่านอยากจะชำแหละคำว่า “ไทย” และ “ประเทศไทย” ใจจะขาด ถึงกับบอกว่าเป็นประดิษฐกรรม
โดย กรกิจ ดิษฐาน
ผมรู้ครับผมรู้ บางท่านอยากจะชำแหละคำว่า “ไทย” และ “ประเทศไทย” ใจจะขาด ถึงกับบอกว่าเป็นประดิษฐกรรมยุคใหม่ เป็นผลพวงอุดมการณ์สมัยชาตินิยมก็มี ซึ่งเป็นอะไรที่ตีขลุมมาก แสดงว่าไม่เคยอ่านเอกสารโบราณเลย
เรื่องคนสมัยอยุธยาเรียกตัวเองว่า “ไทย” และเรียกประเทศว่า “เมืองไทย” หรือ “กรุงไทย” ประเด็นนี้อาจารย์ศรีสรรเพชญ์ (ซึ่งเป็นผู้รู้ด้านประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งใน Pantip และเป็นแอดมินแห่งเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ ได้อธิบายไปไม่รู้จักกี่ครั้งแล้วในรอบไม่กี่ปีนี้ แต่ก็ยังไม่แพร่หลาย แถมยังมีคนเถียงไม่เลิก ท่านก็อุตสาหะอธิบายด้วยความอดทนมาหลายปี
สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ คือมีผู้เผยแพร่แนวคิดพิลึกกึกกือว่า คนไทยไม่มี ประเทศไทยไม่มี เพราะความเป็นชาติไทยไม่มี “ชาติ” คือประดิษฐกรรมของความเป็นสมัยใหม่ หรือ Nation State อันเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งในทางรัฐศาสตร์ เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพทางการเมือง โดยไม่แยแสความหลากหลายทางชาติพันธุ์
ประเด็นก็คือ เราสามารถชำแหละความเป็นชาติได้ เพราะมันประกอบขึ้นมาจากองค์ประกอบที่หลากหลาย (เพื่อสร้างความไม่หลากหลาย) แต่เราจะไปลามปามบอกว่า คนไทยไม่มีไม่ได้ เพราะคนไทยเป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายที่ก่อตัวเป็น “ชาติไทย”
เหตุแห่งความแยกแยะไม่เป็นนี้เกิดขึ้นจากความรังเกียจ “ชาติไทย” และ “คนไทย” เพราะมันไปเบียดเบียนอุดมการณ์เสรีนิยม ที่ไม่ชอบพรมแดน ไม่ชอบการรวมศูนย์ ไม่ชอบการพะฉลากเหมารวมพอเห็นอะไรไทยๆ ขึ้นมาก็เกิดครั่นเนื้อครั่นตัว จะทำลายเครดิตมันให้ได้ ทั้งๆ ที่ “ไทย” ไม่ใช่ของใหม่ เพราะเป็นคำที่คนกลุ่มหนึ่งในเอเชียเรียกตัวเองมานานจนไม่อาจค้นหาที่มาได้ว่านานเพียงใด
นี่คือความฉิบหายทางวิชาการ เพราะมีโมหคติ จนพานทำให้คนที่อ่านไม่แตก ไพล่คิดไปว่า “คนไทย” เป็นของประดิษฐ์ขึ้นมาเมื่อเร็วๆ นี้
ความจริงก็คือไม่เฉพาะอโยธยาเท่านั้นที่เรียกตัวเองว่าไทยและเมืองไทย ล้านนาก็เรียกตัวเองว่าไทยและเมืองไทยมาแต่โบราณ ผมอ่านตำนานมูลศาสนา พ.ศ. 1900 ที่เขียนในภาษาของชาวล้านนา (ก็ภาษาไทนั่นแหละ) เรียกประเทศตัวเองว่า “เมืองไทย” อาจารย์ประเสริฐ ณ นคร ท่านก็บอกว่า จารึกวัดป่าแดงเชียงตุงก็มีคำว่า “เมืองไทย”
จะขอยกตัวอย่างคำว่า “ไท” และ “ไทย” ที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาของล้านนา พอหอมปากหอมคอ ดังนี้
1.ตำนานช่อแพร กล่าวว่า “เหตุดังอั้น จึงใส่ชื่อว่ามหาพลนคร ไทยว่าเมืองแพร่แล” 2.ตำนานกันตถี เอ่ยไว้ดังนี้ “คาถานี้เป็นคำไทยเราว่า” 3.ตำนานพระเกศธาตุเมืองสร้อย กล่าวว่า “ทีนี้จักจาด้วยสารีริกธาตุพระเจ้ามาตั้งอยู่ในเมืองไทยเรานี้ ในที่ทั้งหลายได้ 28 แห่งกับรอยตีนพระบาทสิบแห่ง พระเจ้ามาตั้งไว้ในเมืองไทยแล” 4.ตำนานนางภิกขุณี “ได้แปงเป็นคำไทยเรามีฉันนี้แล” 5.เวทมูลคัณฐี “คาถานี้เป็นคำไทยเราว่า” และ 6.ตำนานพระเกศสร้อย เอ่ยไว้ว่า “แห่งพระเจ้ามาตั้งไว้ในเมืองไทยแล”
คัมภีร์เหล่านี้จารไว้เมื่อประมาณ พ.ศ. 2300 ปลาย-ต้น 2400 แต่อาจเป็นการจารคัดลอกจากคัมภีร์ที่เก่าแก่กว่านั้นมาก ยังไม่นับเอกสารชั้นหลังๆ เท่าที่ผมค้นเจอ (ซึ่งน่าจะยังมีอีกมหาศาล)
พูดง่ายๆ คือ คนล้านนาเรียกตัวเองว่าไท (บางครั้งสะกดว่าไทย) และเรียกบ้านเมืองว่า “เมืองไทย” มาแต่โบราณ ตอนหลังมาเรียกตัวเองว่า คนเมือง เรียกคนภาคกลางว่าคนใต้ (หรือคนไท?) ไม่รู้ว่าเพราะลืมว่าตัวเองเป็นไทด้วยหรือว่าต้องการ
จะแยกอัตลักษณ์ตัวเองจากอำนาจส่วนกลาง หรืออาจเป็นเพราะคนภาคกลางไปเหมาว่าคนล้านนาเป็นลาว
เรื่องล้านนาผมไม่ถนัดหากพลาดพลั้งไปต้องขออภัยด้วย
ย้ำเลยครับว่า “ไทย” ไม่ใช่ประดิษฐกรรมใหม่อย่างบางคนว่าแน่นอน แต่เป็นคำโบราณมากๆ แต่เดิมสะกดว่า ไท ที่สะกดว่า ไทย ผมคิดว่าลากเอามาจากบาลี เพราะตำราบาลีเวลาเปลี่ยนชื่อประเทศไท ต้องเขียนว่า เทยฺย
สระ เ-ยฺย คือสระ ไ- แต่เวลาถอดกลับมาแถม ย เข้ามาด้วยเพื่อความสวยงามหรืออะไรก็ยังไม่ทราบ (อย่างชื่อเมืองเชียงราย แปลงเป็นบาลีได้แปลกๆ เป็น ชิรายะ)
และคนไทยไม่เคยเรียกตัวเองว่าสยาม สยาม/ฉาน/สาม เป็นชื่อที่ต่างชาติเรียกคนไท ยกเว้นการพูดอย่างเป็นทางการในช่วงรัชกาลที่ 4-8 จอมพล ป.เสียอีกที่เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามกลับมาเป็นไทยเหมือนเดิม เพียงแต่แกเป็นชาตินิยมครึ่งๆ กลางๆ เลยเติมคำว่า “แลนด์” ต่อท้าย ทำให้ชื่อประเทศเรามันดูประดักประเดิด


