Time dilation กับโพธิสัตว์อสังคะ
ผมเคยอ่านจากพระไตรปิฎกไม่รู้ว่าเป็นตัวบทหรืออรรถกา ท่านว่าพระโพธิสัตว์ดับขันธ์ไปจากโลกไปเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิต
โดย กรกิจ ดิษฐาน
ผมเคยอ่านจากพระไตรปิฎกไม่รู้ว่าเป็นตัวบทหรืออรรถกา ท่านว่าพระโพธิสัตว์ดับขันธ์ไปจากโลกไปเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิต เวลาบนนั้นผ่านไปแป๊บเดียวกว่าที่พระโพธิสัตว์จะรู้ตัวว่าตายแล้วเกิดใหม่ในสวรรค์ เวลาบนโลกผ่านไปแล้ว 700 ปี
นั่งคิดเล่นๆ ว่า สวรรค์ชั้นดุสิตคงจะอยู่ไกลจากโลกมาก หากเป็นดาวเคราะห์คงใช้เวลาเดินทางหลายล้านปีแสง สวรรค์ชั้นอื่นๆ ก็ไกลเฉกเช่นกัน ในไตรภูมิท่านว่าคล้ายๆ ดังนี้ "หากเอาศิลาก้อนหนึ่งขนาดเท่าปราสาทเหล็กที่ชื่อ โลหะปราสาท ที่มีอยู่ในลังกาทวีปนั้น มาทิ้งทอดลงมาจากพรหมปาริสัชชานั้น โดยไม่ไปติดขัดอยู่ที่ไหนเลย ก็จะกินเวลาถึง 4 เดือน จึงจะตกลงมาถึงแผ่นดิน"
โลหะปราสาทเดี๋ยวนี้เหลืออยู่หลังเดียวที่วัดราชนัดดาฯ กรุงเทพฯ เรานี่เอง แต่ขนาดย่อมกว่าโลหะปราสาทในลังกาทวีป ปัจจุบันที่ลังกาเหลือแต่เสาหลายร้อยต้น แต่ละต้นเป็นหินทั้งแท่ง ขนาดโลหะปราสาทเมืองบางกอกยังดูใหญ่ ดูมี น้ำหนักมหาศาลแล้ว ของเมืองลังกาจะหนักปานใด จะว่าไปคงเท่ากับอุกกาบาตขนาดกลางๆ คงได้ ด้วยน้ำหนักสัมพัทธ์กับการทิ้งจากที่สูงขนาดชั้นพรหมปาริสัชชายังใช้เวลานานเป็นเดือนๆ
คำนวณเอาดูก็แล้วกันครับว่าไกลแค่ไหน แต่รู้ว่าจะมี ผู้คำนวณเอาไว้แล้วในคัมภีร์จักกวาฬทีปนี
เสียดายที่จำไม่ได้ว่าอ่านจากไหน มีบางท่านบอกว่าธัมมปทัฏฐกถา ปุปผวรรควรรณนา เรื่องนางปติปูชิกา เรื่องเทพธิดาจุติมายังโลกแล้วกำเนิดบุตรแล้วตายไปตั้งแต่ยังสาว แล้วกลับไปเกิดบนสวรรค์อีกครั้ง เทพบุตรเห็นหน้าก็ถามว่า "เธอหายหน้าไปตั้งแต่เช้า, เธอไปไหนมา?" เทพธิดาก็บอกว่า ดิฉันไปเกิดมาบนโลกมนุษย์เจ้าค่ะ พออายุ 16 ปีก็ตาย
อายุ 16 ปีในโลกนี่เท่ากับเช้าถึงสายๆ ในสวรรค์เท่านั้นเอง
ถึงจะยังไม่พบต้นเรื่องในพระไตรปิฎก แต่มันทำให้คิดมาตลอดเรื่องความซับซ้อนของภพภูมิในพุทธศาสนากับเรื่อง Time dilation หรือการยืดออกของเวลาในทฤษฎีสัมพัทธภาพ
เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้อ่านคำอธิบายโยคาจารภูมิศาสตร์ อันเป็นตำราสำคัญของฝ่ายมหายาน เหมือนดั่งคู่มือของผู้ปรารถนาเส้นทางโพธิสัตว์ อรรถาธิบายนี้เป็นของท่านอุบาสกหนานไหวจิ่น มีเนื้อหาคล้ายๆ กับในพระไตรปิฎกเถรวาท ท่านเล่าว่า
ก่อนที่โพธิสัตว์อสังคะ ผู้รจนาคัมภีร์โยคาจารภูมิศาสตร์จะดับขันธ์ ท่านสัญญากับน้องชายคือโพธิสัตว์วสุพันธุว่าจะไปพบกันใหม่ที่สวรรค์ชั้นดุสิตแล้วฟังธรรมจากพระศรีอาริยเมตไตรย (ตอนยังมีชีวิตอยู่ พระเมตไตรยทรงมาสอนธรรมอันลึกซึ้งแก่พระอสังคะ จนท่านรจนาโยคาจารภูมิศาสตร์ขึ้น) พระน้องชายคือท่านวสุพันธุจึงขอร้องว่าหากพระพี่ชายไปถึงชั้นดุสิตแล้วให้มาบอกกล่าวกันด้วย
หลังจากดับขันธ์แล้ว เวลาผ่านไป 3 เดือน 1 ปี 3 ปีก็แล้ว พระอสังคะก็ยังไม่มาแสดงนิมิตแก่พระวสุพันธุไม่ว่าจะในฝันหรือในฌาน จนพระน้องชายชักสงสัยว่าพี่ชายไปถึงชั้นดุสิตหรือไม่ กระทั่งวันหนึ่งพระอสังคะปรากฏกายขึ้น พระวสุพันธุจึงถามว่า "หลวงพี่หายไปไหนมา"
พระอสังคะบอกว่า "เราอธิษฐานไปชั้นดุสิตกันไม่ใช่หรือ ตอนนี้พี่อยู่ที่ชั้นดุสิตแล้ว" น้องชายเหมือนยังไม่เชื่อจึงถามว่า "มีจริงหรือพี่" พระพี่ชายตอบว่ามีจริงสิ แต่น้องชายยังถามต่อว่า "แล้วทำไมพี่หายไปนานเหลือเกินเล่า?"
พระอสังคะเหมือนจะงุนงงถามกลับว่า "งั้นหรือ? พี่เพิ่งจะไปถึงชั้นดุสิต พระศรีอาริย์ก็เพิ่งจะแสดงธรรม พี่นั่งลงฟังธรรมครู่หนึ่ง แล้วนึกถึงเจ้า แต่กระดากใจไม่กล้าลุกออกมา ก็เลยฟังจนจบกัณฑ์ เสร็จแล้วก็รีบมาหาเจ้าทันที"
"ท่านพี่คิดว่านานแค่ไหน? นี่โลกมนุษย์ผ่านไปหลายปีแล้ว"
พระอสังหคะอุทานว่า "โอ้ หลายปีเลยหรือ พี่นึกว่าแค่ครู่เดียวเอง"
ผมไม่ค่อยรู้เรื่องควอนตัมฟิสิกส์ แต่ชอบเรื่อง Interstellar (ใครดูฉาก Miller's planet จะเข้าใจ ตัวเอกลงจากยานไปบนดาวแป๊บเดียว บนยานผ่านไป 20 กว่าปีแล้ว) รู้สึกว่าคติทางพุทธศาสนาแบบนี้คล้ายๆ Time dilation หรือ Gravitational time dilation อยู่เหมือนกัน บางทีถ้าขยันขุดขยันศึกษาต่อน่าจะเจออะไรที่น่าทึ่งเหมือนกัน
จิตนั้นไวกว่าอะไรทั้งหมด ที่จริงจิตนั้นไร้กาลเวลา ด้วยซ้ำ


