ยิ่งเร่งโต ... ยิ่งเจ๊ง
จิรภัทร สำเภาจันทร์ ผู้บุกเบิกแฟรนไชส์ร้านสารพัดบริการรายแรกของไทยที่ปรึกษาด้านการตลาดและธุรกิจแฟรนไชส์สัปดาห์ก่อน ผมมีโอกาสไปบรรยายเรื่อง การพัฒนาการตลาดธุรกิจแฟรนไชส์ ให้กับผู้ประกอบการ ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่จัดมานานนับสิบปี อบรมฟรี พร้อมการนำพาโอกาสดีๆ เข้าสู่ตลาดธุรกิจแฟรนไชส์ในอนาคต ชื่อว่าหลักสูตร "Franchise B2B" (จะเปิดรับสมัครราวๆ ช่วงปลายปี ถ้าท่านใดสนใจก็สอบถามไปที่สำนักธุรกิจและบริการ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้)
จิรภัทร สำเภาจันทร์ ผู้บุกเบิกแฟรนไชส์ร้านสารพัดบริการรายแรกของไทยที่ปรึกษาด้านการตลาดและธุรกิจแฟรนไชส์
สัปดาห์ก่อน ผมมีโอกาสไปบรรยายเรื่อง การพัฒนาการตลาดธุรกิจแฟรนไชส์ ให้กับผู้ประกอบการ ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่จัดมานานนับสิบปี อบรมฟรี พร้อมการนำพาโอกาสดีๆ เข้าสู่ตลาดธุรกิจแฟรนไชส์ในอนาคต ชื่อว่าหลักสูตร "Franchise B2B" (จะเปิดรับสมัครราวๆ ช่วงปลายปี ถ้าท่านใดสนใจก็สอบถามไปที่สำนักธุรกิจและบริการ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้)
ในห้องอบรมนั้น ผมได้เช็กประเภทของผู้ประกอบการไทยที่เข้าเรียน พบว่า ธุรกิจอาหารเครื่องดื่ม ยังคงครองแชมป์อันดับหนึ่ง ในการมุ่งหาโอกาสในการขยายธุรกิจด้วยระบบนี้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เจอคือ ผู้ประกอบการยังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเรื่องการจัดการระบบปฏิบัติการหลังบ้าน เรียกว่า มีสูตรอาหารรสเด็ด เครื่องดื่มรสโดน แต่เวียนหัวไม่ลงตัวกับการจัดการต้นทุน (Food cost) ที่สูงเกินไป ระบบ QSC (คุณภาพ/การบริการ/ความสะอาด) ยังไม่ผ่าน
ทั้งหมดนี้ทำให้ถ้าขืนยังฝืนดันทุรังขยายสาขาไปมากๆ ยิ่งจะเป็นการทำให้เกิดเหตุการณ์ ยิ่งขยายสาขา ยิ่งเจ๊ง... ยิ่งยากจนได้ง่าย
ภาพธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารจึงไม่ได้สวยหรูนัก ถ้าไม่เตรียมความพร้อมของกิจการให้ฟิตพอที่จะจัดการหลังบ้านให้เรียบร้อยไปได้ เพราะหากขยายสาขาออกไปมากมาย แต่ยอดขายไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะลูกค้ายี้ เหม็นขี้หน้าร้านเรา หรือเพราะที่ร้านสกปรก มีแมลงสาบลาดตระเวน กองทัพหนูเดินพาเหรด ส่วนพนักงานก็นั่งเล่นไลน์ หน้าหงิกงอ ทำผมหลากสี ไม่ดูแลลูกค้า ส่วนอาหารจานที่จัดมาก็ดันไม่ตรงกับภาพโฆษณาในเมนู...แตกต่างราวฟ้ากับเหว รสชาติไม่คงที่ ต้นทุนอาหารก็ไม่คุม ไม่คำนวณ ปล่อยให้ต้นทุนอาหารสูงปรี๊ด
แบบนี้รับประกันได้ เหล่าสาขาต่างๆ ของร้านที่เปิดมากมาย จะยอดขายไม่ดี ขาดทุนย่อยยับ จะแปลงสภาพกลายเป็นเครื่องสูบน้ำ (เงิน) ที่ดูดเงินจากบริษัทแม่ออกพร้อมๆ กันหลายๆ สาขา
ตอนทำสาขาน้อยๆ ก็ตัวเลขยอดขายได้ แต่วาดฝัน ก็คิดว่ายิ่งมีสาขาเยอะ จะยิ่งทำเงิน ปั๊มสตางค์เข้ากระเป๋าตลอดเวลา ยิ่งขายแฟรนไชส์จะยิ่งร่ำรวย ประหนึ่งมีเครื่องผลิตเงินของตนเอง อันนี้...จะเพ้อเจ้อมาก...และกลายเป็นความทุกข์ที่ถาโถมมาหาคนซื้อแฟรนไชส์และคนขายแฟรนไชส์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น สิ่งที่ต้องย้ำกันตลอดคือ ถ้าระบบหลังบ้านของร้าน ของธุรกิจ มีความพร้อมที่ดี สร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้า
ยิ่งหากสร้างประสบการณ์จนทำให้ได้ลูกค้าประเภทหลงรักแล้วละก็ ลูกค้าจะจดจำในแบรนด์ ไม่ว่าท่านจะตั้งชื่อแบรนด์ได้เรียกยากเย็นสักแค่ไหน ลูกค้าก็ยังจะชื่นชอบ และลูกค้าจะเป็นคนมาถามและขอซื้อแฟรนไชส์ของกิจการเองโดยแทบไม่ต้องโปรโมทใดๆ
บางครั้งลูกค้าก็มาถามขอซื้อแฟรนไชส์เร็วไปหน่อย ระบบหลังบ้านยัง ไม่ดี แต่อดใจไม่ไหว ดันขายแฟรนไชส์ไปโดยยังไม่พร้อม อันนี้จะคล้ายๆ วัยรุ่นชิงสุกก่อนห่าม จนท้องก่อนเรียนจบ
ผู้ประกอบการที่มีคนมาขอซื้อแฟรนไชส์โดยไม่ทันตั้งตัว ต้องหักห้ามใจดีๆ ใจเย็น ท่องพุทโธไว้ แล้วรีบเรียนรู้เรื่องแฟรนไชส์ รวมถึงจัดระบบให้เรียบร้อย จากนั้นท่านจะไปได้อย่างฉลุย
ธุรกิจอาหารหรือธุรกิจไหนๆ ที่คิดจะขยายสาขา ถ้าพร้อมและเรียนรู้จนเข้าใจระบบแฟรนไชส์จริงๆ ก็สามารถเติบโตได้อย่างกับติดจรวดเลยทีเดียวครับ


