posttoday

วัชระ แก้วสว่าง หุ้นไทยขาขึ้นยาว

02 มกราคม 2561

ตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในช่วงวัฏจักรขาขึ้นเมื่อมองไปข้างหน้าก็ยังคงเป็นภาพของหุ้นขึ้น ซึ่งมีการมองกันว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสทุบสถิติที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2537 และจะทะยานขึ้นไปในระดับที่เหนือ 2,000 จุดได้

ตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในช่วงวัฏจักรขาขึ้นเมื่อมองไปข้างหน้าก็ยังคงเป็นภาพของหุ้นขึ้น ซึ่งมีการมองกันว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสทุบสถิติที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2537 และจะทะยานขึ้นไปในระดับที่เหนือ 2,000 จุดได้

เมื่อเป็นภาพนี้เรามาลองฟังทิศทางการลงทุน วัชระ แก้วสว่าง หรือเสี่ยป๋อง นักลงทุนรายใหญ่ ว่าเขาคิดอย่างไรและจะจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไรในปีนี้ ในโอกาสที่ให้สัมภาษณ์พิเศษโพสต์ทูเดย์ วัชระ บอกว่า ในมุมมองของผมต่อตลาดหุ้นไทยยังเป็นบวกอยู่และหากมองทางเทคนิคตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นขาขึ้นอยู่ และหากมองจากสิ้นปีนี้เชื่อว่า ยังจะขึ้นได้อีกยาวๆ เลย และมีโอกาสที่หุ้นไทยจะขึ้นไปได้ถึง ระดับ 2,790 จุด แต่ดัชนีในระดับนี้จะไม่ได้เกิดขึ้น ในปีนี้แต่ยังคงใช้เวลาในการเดินทาง เหมือนกับเมื่ออดีตกว่าที่ตลาดหุ้นไทยจะทะยานขึ้นมาสู่ระดับ 1,700 จุด ก็ใช้เวลาอยู่ประมาณ 14 ปี จากระดับ 380 จุด เมื่อก่อนวิกฤตซับไพรม์

"ดัชนีหุ้นไทยอยู่ในช่วงของ GRAND SUPPERCYCLE คลื่นที่ 3 ซึ่งผมคิดว่าจะจบที่ 2,900 จุด ในความเชื่อของผมที่เกิดขึ้นนั้นจะเกิดจากการนับคลื่นในกราฟโดยหลักใหญ่คือ ในวัฏจักรกราฟขาขึ้นจะประกอบด้วยคลื่นขาขึ้น 5 ลูก แบ่งเป็นคลื่น 1 คลื่น 2 คลื่น 3 คลื่น 4 คลื่น 5 ซึ่งคลื่น 1 คลื่น 3 คลื่น 5 คือ คลื่นกราฟเชิดขึ้น ส่วนคลื่น 2 และ 4 คือ กราฟหักหัวลง ซึ่งคลื่นที่ 3 ถือเป็นคลื่นที่มีโอกาสขึ้นมากสุดและนานสุด" วัชระ กล่าว

วัชระ กล่าวอีกว่า คลื่นลูกที่ 1 ช่วงปี 2518 คือ เปิดตลาดหุ้นไทย ระดับดัชนี 100 จุด ถึง 1,789 จุด เมื่อเดือน ม.ค. 2537 ใช้เวลา 19 ปี คลื่นที่ 2 จบเมื่อปี 2540 ที่ดัชนีลงไปที่ 200 จุด คลื่นที่ 3 เริ่มจากปี 2551 เป็นต้นมา ตามหลักแล้วคลื่นนี้จะไปได้ไกลมาก และจะยาวกว่าคลื่น 1 และน่าจะขึ้นไปต่อได้ประมาณ 19 ปี และหากนับปี 2560 คลื่น 3 จะใช้เวลา 9 ปีเท่านั้น ส่วนลูกที่ 5 ถ้าเดาไม่ผิดจบได้ที่ 1,900 จุด ซึ่งหากหุ้นไทยทำจุดสูงสุดได้แล้วก็มีโอกาสปรับตัวลงเป้นคลื่นที่ 2 ประมาณ 2 ปีซึ่งอาจจะลงได้ประมาณ 20%

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงและแรงนั้นทำให้มีหุ้นที่พี/อีถูกๆ น้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะพุ่งขึ้นแทบทั้งนั้นดังนั้นในการลงทุนนักลงทุนจะต้องเลือกหุ้นรายตัวและวิเคราะห์ข้อมูลให้ดีเพราะหุ้นยิ่งดัชนีสูงก็ยิ่งที่จะเล่นยากและสำคัญนักลงทุนจะต้องมีวินัยและจะต้องรู้จักพอในการลงทุนเพราะไม่อย่างนั้นก็จะทำให้เกิดความเสียหายได้ ที่ผมพูดแบบนี้เพราะผมมีประสบการณ์ดีมากมาแล้วเพราะหากนับถึงตอนนี้ผมเป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มาตั้งแต่เรียนปี 2 ผมเป็นนักลงทุนที่ทันวิกฤตในทุกรอบและเคยประสบภาวะขาดทุนมาแล้วเมื่อถึงเวลาหุ้นลงไม่ตัดขาดทุน มาขายตอนที่ลงลึกๆ และด้วยประสบการณ์นี้ทำให้ผมเป็นนักลงทุนที่จะลงทุนเมื่อรู้ว่ากำลังจะขึ้น แต่จะไม่ลงทุนเมื่อคิดว่าลงเพราะเราไม่มีทางรู็ว่าจะลงจนถึงที่สุดตรงไหนและเมื่อไร

สำหรับการลงทุนในพอร์ตของตัวผมนั้น จะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งมองว่าหุ้นในปีนี้ที่เป็นโอกาสและลงทุนได้นั้นจะเป็นหุ้นพลังงาน หุ้นธนาคารพาณิชย์ เพราะที่ผ่านมานั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยและพี/อี ยังไม่สูงมาก และจะลงทุนตามธีมหุ้น 3 ธุรกิจใหม่ คือ 1.ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) 2.พลังงานทดแทน และ 3.ธุรกิจเกี่ยวกับไบโอเทคหรือเกี่ยวกับสุขภาพเพราะเป็นเทรนด์ของโลกที่จะเกิดขึ้น

วัชระ บอกว่า ตอนนี้ให้ความสนใจในการเข้าไปลงทุนในสตาร์ทอัพที่ทำระบบในการลงทุนด้วยการใช้เอไอในการซื้อขายเพราะผมมองว่าตอนนี้การลงทุนมีปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นคือ การถูกเอไอแทรกการส่งคำสั่งซื้อและขายเข้ามาซึ่งทำให้เสียโอกาสในการลงทุน ดังนั้นอนาคตก็อาจมีการใช้เอไอเป็นเครื่องมือในการลงทุนได้

"ในการลงทุนผมไม่ได้มีเป้าหมายในเรื่องของกำไรเป็นที่ตั้งว่าจะกำไรเท่าไร แต่อยู่ที่ว่าพอใจระดับไหน ซึ่งมีหุ้นบางตัวที่ผมชอบผมก็จะเข้าซื้อซึ่งในหุ้นบางตัวผมซื้อจนติดอันดับ 1 ใน 10 ของผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ก็อย่างที่บอกผมจะลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสและมีอนาคตในการเติบโตที่ดี" วัชระ กล่าว

ข่าวล่าสุด

โปรแกรมบอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ผลบอลสด วันอังคารที่ 23 ธ.ค. 68