posttoday

บ้านอัจฉริยะ ฉลาดล้ำด้วย AI

28 พฤศจิกายน 2560

กิตติ โกสินสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร & บริษัท ไฟเบอร์วัน จำกัด (มหาชน) เทรนด์ของตลาดบ้านอัจฉริยะที่มีการคาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมในปี 2563 จะสูงถึง 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่ 645 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 40% ต่อปี

กิตติ โกสินสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร & บริษัท ไฟเบอร์วัน จำกัด (มหาชน)

เทรนด์ของตลาดบ้านอัจฉริยะที่มีการคาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมในปี 2563 จะสูงถึง 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่ 645 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 40% ต่อปี

พอพูดถึงคำว่า AI คุณคงนึกถึง Jarvis ผู้ช่วยของ โทนี่ สตาร์ค มหาเศรษฐีในหนัง Ironman ก็เรียกว่ามาถูกทางครึ่งหนึ่ง (เพราะว่าจะให้มันเก่งขนาดนั้นก็คงมากเกินไป) แล้วบ้านอัจฉริยะนั้นทำไมต้องเอาไปผูกรวมกับเทคโนโลยีอย่าง IoT ด้วย น่าจะเรียกว่าจะมีบ้านอัจฉริยะได้ ก็ต้องมีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI พร้อมกับ IoT ในหน้าที่ของการเป็นอุปกรณ์ในการทำงานแบบต่างๆ นั่นเอง

ด้วยการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (The Internet of Things) มาประยุกต์ใช้โดยเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า ระบบรักษาความปลอดภัย และอื่นๆ โดยผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุม (Control) อุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้ได้ผ่านทางสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เคลื่อนที่ ทำให้ได้รับความสะดวกสบาย (Convenience) แถมยังช่วยประหยัด (Savings) ค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน

รวมไปถึงความปลอดภัย (Safety) ที่เพิ่มมากขึ้น จากการมีระบบอัตโนมัติต่างๆ มาเป็น "ผู้ช่วย" ภายในบ้าน เช่น ตรวจจับผู้บุกรุกบ้าน ตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสมภายในบ้าน ไปจนถึงวัดค่าแก๊สในอากาศจากเซ็นเซอร์เพื่อป้องกันการรั่วไหล เป็นต้น นอกจากนี้อุปกรณ์สมาร์ทโฮมที่เริ่มมีให้เลือกมากขึ้นในตลาด ทำให้ราคามีโอกาสลดลง และเป็นที่ต้องการในระยะยาว

ทั้งหมดทั้งมวล เมื่อเราเอา IoT มาทำงานทั้งหมดนั้นแล้ว มันจะเกิดข้อมูลจำนวนหนึ่งขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วระบบการควบคุมการใช้งานบน IoT ก็มีอยู่และควบคุมอยู่แล้ว แต่ว่าระบบทั้งหมดมันทำตามที่คนสั่งในแบบที่เรียกว่า Manual หรือต้องทำเองด้วยมือ จะเปลี่ยนให้ระบบทั้งหมดสามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติหรือ Automatic งานนี้คุณต้องพึ่งเจ้า AI นี่แหละ

พื้นฐานของระบบ AI นั้นจะมีเรื่อง Deep Learning, Robotics, Digital Personal Assistant, Querying Method, Natural Language Processing, Context Aware Processing แต่เราสนใจในเรื่อง Deep Learning, Digital Personal Assistant, Natural Language Processing และ Context Aware Processing เพราะอย่างแรกจะทำบ้านให้ฉลาดด้วย AI นั้นต้องให้ระบบสามารถเรียนรู้ทุกอย่างที่อยู่ในบ้านหรือที่เราเรียกว่า Deep Learning

ทั้งนี้ อาจจะมีการใส่ข้อมูลเริ่มต้นบางส่วนให้กับระบบส่วนที่เหลือจะเป็นเรื่องของการเรียนรู้ด้วยความฉลาดของ AI เอง ที่จะสามารถนำเอาข้อมูลเบื้องต้นไปเทียบกับข้อมูลที่ได้จากอุปกรณ์ IoT ต่างๆ และสั่งการทำงานกลับไป เช่น มีการตั้งอุณหภูมิในบ้านไว้ที่ 25 องศา AI อาจจะรู้ว่ามาตรฐานคือเท่านั้นกับจำนวนคนเพียง 5 คน แต่เมื่อมีคนมาเพิ่มหรือมีแขกเข้ามาที่บ้าน ระบบ AI นั้นก็จะสามารถคิดได้เองว่าต้องสร้างความเย็นที่อาจจะมากกว่าเดิมเล็กน้อย

ต่อมาจะให้บ้านฉลาดระดับอัจฉริยะได้มันก็ต้องมีระบบ Digital Personal Assistant หรือผู้ช่วยดิจิทัล นึกภาพง่ายๆ ก็อย่าง Jarvis นั่นไง หน้าที่ของผู้ช่วยดิจิทัลก็จะทำหน้าที่คอยจัดการ ทุกเรื่องที่คนในบ้านสั่งให้ทำ ไม่ว่าสั่งเปิดประตู หุงข้าว ตั้งเวลาเปิดไฟในบ้าน หรือแม้กระทั่งบันทึกซีรี่ส์เรื่องโปรดในวันที่คุณต้องทำงานล่วงเวลา และจะให้เจ้าผู้ช่วยดิจิทัลทำงานได้ก็ต้องอาศัย Natu ral Language Processing และ Context Aware Processing หรือระบบประมวลผลคำและประโยคภาษามนุษย์ให้เปลี่ยนเป็นคำสั่งให้อุปกรณ์ IoT ต่างๆ ในบ้านให้ทำงานหรือเอาไปประมวลผลเรื่อง อื่นๆ ก็ว่าไป

เรามาดูกันว่าถ้าเราอยากมีระบบ AI สำหรับบ้านอัจฉริยะขั้นแอดวานซ์จะต้องทำอย่างไร นอกจากเตรียมเงินเอาไว้ เริ่มที่สเต็ปธรรมดาแบบจ่ายเงินแล้วได้ทุกอย่างไปเลย คุณสามารถเลือกจ่ายเงินให้กับระบบเชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าและระบบภายในบ้านบนแพลตฟอร์มมาตรฐานที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น Zigbee, Z-Wave หรือ HomeKit แล้วเลือกเอาว่าคุณชอบเทคโนโลยีของใคร ถ้า คุณเป็นหนึ่งในสาวกผลไม้แหว่งอาจจะต้องรอให้ HomePod ลำโพงอัจฉริยะที่สามารถเชื่อมต่อระบบภายในบ้านผ่านการสั่งงานด้วยการเรียก Siri เหมือนบนมือถือ iPhone หรืออุปกรณ์ของ Apple

แต่ถ้าคุณอยู่ฝั่งของ Android ก็เตรียมตัวสั่งเจ้า Google Home ที่ทำหน้าที่แบบเดียวกับอุปกรณ์ของ Apple แต่เวลาจะสั่งให้มันทำอะไรจะใช้คำว่า Ok Google แบบเดียวกับบนมือถือสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ หรือคุณไม่อยากเลือกทั้งสองค่าย Echo จาก Amazon ก็เป็นตัวเลือกที่ดีและราคาย่อมเยากว่าสองตัวแรก วิธีการทำงานของ Echo นั้นก็สามารถสั่งด้วยเสียงได้เช่นเดียวกัน แค่เอ่ยคำว่า Alexa แล้วก็สั่งๆ เข้าไปว่าอยากได้อะไร

ถ้าคุณอินดี้มากกว่านั้นอีก คืออยากใช้มือถือสมาร์ทโฟนที่มีอยู่แล้ว แต่อยากได้อะไรที่ Unique กว่านั้นอีก คุณอาจจะต้องลองมองไปที่แพลตฟอร์มอย่าง Josh.ai (https://www.josh.ai/) ที่เรียกว่าเปิดที่สุดแล้ว โดยที่สามารถตรวจสอบความสามารถว่าอุปกรณ์ใดบ้างรองรับระบบของ Josh.ai ได้ตามลิงค์ที่ให้ไปแล้วได้เลย

แต่สิ่งที่อยากให้มองภาพให้ชัดก่อนก็คือ ทุกคนนั้นไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านตลอดเวลา ทำอย่างไรให้คุณสามารถสั่งงานและได้รับการติดต่อจาก AI ที่อยู่ในบ้านอย่างต่อเนื่อง ถ้าคุณอาศัยอยู่ในคอนโดหรือหมู่บ้าน ลองสอบถามไปที่นิติบุคคลว่ามีการวางโครงข่ายไฟเบอร์ออปติกที่โครงการแล้วหรือยัง แต่ถ้ายังไม่ซื้อ ลองมองหาที่อยู่อาศัยที่มีการวางโครงข่ายไฟเบอร์แท้ๆ ที่สามารถเลือกผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตได้เอง

นอกจากนั้น ยังมั่นใจได้ว่าจะได้รับการบริการที่มากกว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็น กล้องวงจรปิดหรือระบบรักษาความปลอดภัยภายในบ้านแบบที่ไม่ต้องจ่ายแพงๆ แถมต่อไปเมื่อคุณจ่ายเงินซื้ออุปกรณ์ที่มี AI เข้ามาติดตั้ง แค่นี้ก็เปลี่ยนบ้านให้อัจฉริยะได้สบายๆ

ตอนนี้แค่เตรียมเงินไว้ให้พอ เพราะถ้าคุณจะให้บ้านฉลาดแบบเต็มขั้นและไม่อยากลงแรงมากนัก ก็คงต้องจ่ายหนักกว่าเดิมเท่านั้นเอง

ข่าวล่าสุด

BDI ชี้ SMEs ไทยต้องใช้ Big Data - AI เดินหน้า The UP ปั้นธุรกิจฐานข้อมูลสู่ Data Economy