posttoday

3 บจ.ลุยลงทุน โซลาร์ฟาร์มเมียนมา

04 ธันวาคม 2560

พรสวรรค์ นันทะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 3 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ร่วมทุนดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ใหญ่สุดในภูมิภาคอาเซียนที่เริ่มต้นดำเนินการแล้วและนำสื่อมวลชนเข้าไปเยี่ยมชม

พรสวรรค์ นันทะ

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 3 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ร่วมทุนดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ใหญ่สุดในภูมิภาคอาเซียนที่เริ่มต้นดำเนินการแล้วและนำสื่อมวลชนเข้าไปเยี่ยมชม

การเข้าไปร่วมลงทุนของ บริษัท วินเทจ วิศวกรรม (VTE) บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) และบริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) ในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทพลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) หรือ GEP ทั้งสามบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 12% 20% 15% ตามลำดับ ที่เหลือเป็นการถือผ่านบริษัทลูกของ VTE ในสิงคโปร์อีก 2 แห่ง รวม 53%

โครงการนี้ขนาดกำลังการผลิตรวม 220 เมกะวัตต์ ถือเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่คนไทยเข้าไปร่วมลงทุน โดยมีขนาดการผลิตใหญ่ที่สุดในอาเชียน ซึ่งโครงการได้รับสัมปทานเพื่อพัฒนาและดำเนินงานแบบ BOT (Built- Operate-Transfer) ระยะเวลาสัญญา 30 ปี

ทั้งโครงการมีพื้นที่รวม 2,115 ไร่ มูลค่าการลงทุนประมาณ 9,600 ล้านบาท มีสัดส่วนการกู้และส่วนทุนอยู่ที่ 65:35 ซึ่ง 65% ขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) และธนาคารกรุงไทย มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) 10% การก่อสร้างแบ่งเป็น 4 เฟส โดย 3 เฟสแรก มีขนาด 50 เมกะวัตต์ และเฟสสุดท้าย 70 เมกะวัตต์

ปัจจุบันโครงการเริ่มก่อสร้างเฟสแรก โดยแผงโซลาร์เซลล์เฟสแรก 1.6 แสนแผง ขนส่งถึงพื้นที่แล้ว คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือน มิ.ย.หรือเดือน ก.ค. 2561 และเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (COD) กับกระทรวงการไฟฟ้าและพลังงานของรัฐบาลเมียนมา เพื่อรับรู้รายได้ในไตรมาส 3 ปี 2561

ปฐมพล เหล่าวิระยะศักดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์สถาบัน บริษัทหลักทรัพย์คันทรี่ กรุ๊ป กล่าวว่า การลงทุนโครงการดังกล่าวเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางพลังงานที่ทำกับรัฐบาล หากรัฐบาลเมียนมายังไม่เปลี่ยนขั้วหรือเปลี่ยนขั้วการเมืองแต่ยืนบนกฎหมายเดิมถือว่าดี บวกกับมีการค้ำประกันความเสี่ยงทางการเมืองหากเกิดปัญหา และได้รับการรับประกันจากผู้จำหน่ายแผงโซลาร์เซลล์ในเรื่องประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยตั๋วพันธบัตรอีก

"สำหรับ IRR ที่ 10% และมีผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) 14% ตามที่ GEP ชี้แจงก็ถือเป็นระดับปกติของธุรกิจโซลาร์ หากดูจากกำไรสุทธิทั้งโครงการที่ประมาณ 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี จะมีอัตรากำไร ขั้นต้นที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท หรือ 15% เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ เพราะมีเสถียรภาพ แต่ต้องดูว่างบประมาณการก่อสร้างจะเกินจากที่กำหนดไว้หรือไม่" ปฐมพล กล่าว

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก ประเมินว่า โครงการดังกล่าวน่าจะสร้างกำไรสุทธิได้ราว 15 ล้านดอลลาร์/ปี หรือคิดเป็นกำไรสุทธิราวเมกะวัตต์ละ 2 ล้านบาท

ทั้งนี้ กลยุทธ์ของ GEP ยังคงมองหาสถานที่ลงทุนทางด้านพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง พร้อมหวังจะเป็นบริษัทจดทะเบียนในอนาคต

จึงอาจเป็นโอกาสให้สามารถปลดล็อกมูลค่าของบริษัทได้ โดยหากอิงราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พี/อี) ที่ราว 15 เท่า จะได้มูลค่าบริษัทจากโครงการอยู่ที่ราว 6,600 ล้านบาท

สำหรับประโยชน์ที่มีต่อ ECF หนึ่งในผู้ถือหุ้นจะได้รับคือ จะเพิ่มมูลค่าให้แก่บริษัทกว่า 1,300 ล้านบาท และสร้างส่วนแบ่งกำไรสุทธิกว่า 90 ล้านบาท/ปี

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาควบคู่กับมูลค่าเงินลงทุนซึ่งแบ่งเป็นการเข้าถือหุ้นใน GEP 20% มูลค่า 310 ล้านบาท และการเพิ่มทุนตามสัดส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าดังกล่าวกว่า 700 ล้านบาท (อิงจากการถือหุ้น 20% ของ ECF) รวมกว่า 1,000 ล้านบาท อาจได้รับผล กระทบจากการเพิ่มทุนทั้งแบบเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม (RO) และนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) หรือการใช้สิทธิจากใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญชุด 2 (ECF-W2) และ ECF-W3 ราว 30%

"ราคาหุ้นปัจจุบันได้สะท้อนประเด็นดังกล่าวไปค่อนข้างมากแล้ว จึงแนะนำให้ติดตามการ COD ที่จะเกิดขึ้นจริงราวกลางปี 2561 และรายละเอียดการลงทุนเพิ่มเติมของ GEP ให้ชัดเจนก่อน" บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ระบุ

ออง ทีฮา ประธานกรรมการ GEP ในนามผู้บริหารจัดการและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า กล่าวว่า โครงการได้รับสัมปทาน 30 ปี ด้วยอัตราค่าไฟฟ้าที่ได้รับสนับสนุนจากภาครัฐ 0.1275 ดอลลาร์/กิโลวัตต์/ชั่วโมง/ปี ซึ่งได้รับสิทธิเช่าพื้นที่จากรัฐบาลและบริษัทในเมียนมา โดยเมื่อมีการผลิตไฟแล้วจะขายให้กับกระทรวงไฟฟ้าและพลังงาน รัฐบาลเมียนมา บริษัทคาดว่าโครงการโรงไฟฟ้าจะเสร็จสิ้นพร้อมเริ่ม COD ระยะที่ 1 ในช่วงกลางปี 2561 จากนั้นจะดำเนินการก่อสร้าง ระยะที่ 2 ต่อทันที

"โครงการมีกำลังการผลิตที่สามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 350 ล้านกิโลวัตต์/ชั่วโมง/ปี รองรับการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 2.17 แสนครัวเรือน สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้น เนื่องจากอัตราการใช้ไฟฟ้าในเมียนมายังต่ำอยู่ที่ 34% ในปี 2558 คาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าเติบโตเฉลี่ย 11.7% ซึ่งแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าของประชาชนจะสูงขึ้นต่อเนื่องเพิ่มเป็น 87% ภายในปี 2573

ศุภศิษฏ์ โภคินจารุรัศมิ์ กรรมการและกรรมการบริหาร VTE กล่าวว่า ต้องการนำ GEP เข้าตลาดหุ้น หากสามารถทำกำไรได้ในปีแรกตามเกณฑ์ เพราะที่ผ่านมาบริษัทได้เตรียมตัวให้เป็นไปตามมาตรฐาน บจ.และหารือร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ตลอด

อารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ ECF มั่นใจในการลงทุนโครงการนี้เนื่องจากแนวโน้มการเมืองในเมียนมาเริ่มนิ่ง และยังมีประกันความเสี่ยงการก่อสร้างและการประกันรายได้ทำให้ธุรกิจมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมาก อย่างไรก็ดี ยังไม่ตัดสินใจเพิ่มทุนมากกว่าที่ถืออยู่ 20%

พูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร QTC กล่าวว่า ร่วมลงทุนเพราะบริษัทเล็งเห็นว่าเมียนมาอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งมีความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าอีกมาก และเศรษฐกิจเติบโตได้รวดเร็วการใช้ไฟจะสูงขึ้นอีก จากความต้องการใช้ไฟฟ้าช่วงปี 2544-2556 โตเฉลี่ย 8% คาดว่า ในปี 2556-2573 จะโตเฉลี่ยเพิ่มเป็น 10% ในอนาคตจึงอาจมีการพัฒนาโครงการอื่นอีก

ข่าวล่าสุด

ทร.แจงไม่ได้ข่มขู่กัมพูชา ย้ำใช้กลไกทวิภาคีปมเขื่อนกันคลื่น