อ้วนเสี้ยวผู้เปิดกล่องแพนโดร่า
คนอ่านสามก๊กไม่ว่าใครก็บอกว่าอ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำที่มีปัญหา เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะว่า อ้วนเสี้ยวเป็นลูกหลานในตระกูลขุนนางใหญ่โต
คนอ่านสามก๊กไม่ว่าใครก็บอกว่าอ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำที่มีปัญหา เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะว่า อ้วนเสี้ยวเป็นลูกหลานในตระกูลขุนนางใหญ่โต มีอิทธิพลมาก และมีศักยภาพที่จะเป็นใหญ่ในแผ่นดินได้แท้ๆ แต่กลับปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป แล้วยังพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ให้กับโจโฉจนตัวตาย... แพ้ทั้งที่มีศักยภาพและกองกำลังอยู่ในมือมากกว่าโจโฉหลายเท่าตัว
อ้วนเสี้ยวใจแคบ อ้วนเสี้ยวไร้แผน อ้วนเสี้ยวอยากใหญ่แต่ใหญ่ไม่เป็น อ้วนเสี้ยวถูกตีตราว่าบกพร่องไว้หลายหัวข้อ ซึ่งหาอ่านได้ง่าย จึงไม่ขออธิบายซ้ำ
แต่ที่สำคัญคือคนคิดสั้นแบบอ้วนเสี้ยวยังสร้างรอยแผลที่ยากประสานให้กับประวัติศาสตร์ ที่ไปๆ มาๆ กว่าจะฟื้นคืนสภาพได้ก็กินเวลาเข้าไป 4-500 ปี
รอยแผลทางประวัติศาสตร์ที่ฝังรอยยาวนานขนาดนี้ ต้องเล่าย้อนเรื่องก่อนหน้าไปกว่าร้อยปีเช่นกัน
ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกก่อนเกิดยุคสามก๊กเริ่มต้นด้วย 3 รัชสมัยที่สงบสุข แต่หลังจากช่วง 3 รัชกาลแรกเป็นเวลากว่าหนึ่งร้อยปีถัดมาจนเริ่มยุคสามก๊กมีสถานการณ์ประหลาดอยู่อย่าง ตรงที่พระญาติฝ่ายแม่ของฮ่องเต้ และขันทีต่างสลับกันยกพวกเข่นฆ่ากันไปมา เพื่อกุมอำนาจในพระราชสำนัก
เรื่องนี้จะโทษว่าฮ่องเต้แต่ละพระองค์ไร้สามารถก็พูดยาก ถ้าจะโทษก็ต้องโทษพันธุกรรม เพราะกุญแจสำคัญคือฮ่องเต้แต่ละพระองค์มักขาดรัชทายาท และหรือที่มีก็มักสิ้นพระชนม์ไปก่อนวัยอันควร
ฮ่องเต้ฮั่นตะวันออก 13 พระองค์ มีเพียง 3 องค์เท่านั้นที่อายุยืนเกิน 40 ปี ส่วนใหญ่มักต้องขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ยังเยาว์ ที่อ่อนสุดอายุแค่ร้อยกว่าวันก็ต้องขึ้นนั่งบัลลังก์ซะแล้ว
แน่นอนฮ่องเต้เด็กย่อมไม่สามารถบริหารราชกิจ ฮองไทเฮาจึงต้องขึ้นกุมอำนาจเสียเอง เป็นธรรมดาที่มักตามมาด้วยการแจกจ่ายอำนาจให้แก่พี่น้องผู้เป็นชายของฮองไทเฮา ให้เอาอำนาจไปช่วยกันดูแล
พระญาติฮองไทเฮาจึงได้เค้กแห่งอำนาจก้อนใหญ่ แต่พอถึงวัยที่ฮ่องเต้ว่าราชการได้ฮ่องเต้ก็ต้องหงุดหงิดใจ ว่าทำไมเค้กที่ควรเป็นของตัวเองกลับไปอยู่ในปากพระญาติฝ่ายแม่ เค้กเข้าปากแล้วยากจะคายคืน... ถ้าไม่ใช้กำลัง
ฮ่องเต้จึงเหลือที่พึ่งแค่กลุ่มขันทีข้างกาย กลุ่มคนที่ไม่อยู่ในโครงสร้างอำนาจราชการ (ซึ่งกลุ่มพระญาติฝ่ายแม่เป็นใหญ่) ฮ่องเต้จึงได้แต่รวมหัวกับแก๊งขันทีขึ้นมาล้างบางพระญาติฝ่ายแม่
ถ้าเรื่องจบแค่ฮ่องเต้และกลุ่มขันทีเป็นใหญ่ก็คงจบง่าย แต่ไม่รู้พันธุกรรมหรือฟ้าลิขิต อย่างที่บอกไปแล้วว่าฮ่องเต้แต่ละพระองค์มักอายุไม่ยืน และไร้รัชทายาท จึงจำเป็นต้องแต่งตั้งให้ลูกพระญาติข้างเคียงขึ้นเป็นฮ่องเต้แทน ผลก็คือได้กลุ่มพระญาติฝ่ายแม่แก๊งใหม่ยกชุดมากุมอำนาจเวียนวน
กลายเป็นวงจรอุบาทว์แห่งอำนาจในราชสำนัก
แต่แม้ฮ่องเต้จะถูกลดความสำคัญเป็นเพียงตัวประกอบแห่งอำนาจในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะมีใครอยากจะโค่นอำนาจฮ่องเต้ลงจริงๆ เพราะทั้งพระญาติฝ่ายแม่ และกลุ่มขันที ต่างพึ่งพิงฐานะฮ่องเต้มาเป็นอำนาจของตน ทั้งสองขั้วอยากให้ฮ่องเต้ได้เค้กชิ้นใหญ่ๆ แล้วเอามาแจกจ่ายให้พวกพ้องทั้งสิ้น หากฮ่องเต้ไม่มีอำนาจแล้ว ทั้งพระญาติหรือขันทีก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น
ระยะเวลา 100 กว่าปีฐานะของฮ่องเต้จึงไม่เคยตกต่ำลงเลย และการแก่งแย่งอำนาจของสองกลุ่มนี้ยังเหยียบให้อีกสองขั้วอำนาจได้แต่สวมบทบาทสงบนิ่ง ไม่มีช่องให้เคลื่อนไหว
อีกสองขั้วอำนาจนั้นก็คือ กลุ่มตระกูลขุนนาง และกลุ่มขุนศึกท้องถิ่น
ขั้วอำนาจทั้งสี่ ไม่ว่าพระญาติฝ่ายแม่ ขันที ขุนนาง ขุนศึกท้องถิ่น ต่างมีอำนาจและค้ำยันซึ่งกันและกัน แม้ในรายละเอียดจะทำให้ฮ่องเต้ต้องลุกขึ้นต่อสู้ดิ้นรน แต่ในภาพรวมกลับทำให้ตำแหน่งฮ่องเต้มั่นคง เพราะต่างก็ใช้ตำแหน่งฮ่องเต้เป็นแบ็กอัพเพียงหนึ่งเดียว
ขั้วอำนาจทั้งสี่จึงเปรียบเสมือนเสาค้ำราชบัลลังก์ แม้ง่อนแง่นงัดกันแต่ต่างยังค้ำยันไปมา ฝ่ายที่เดือดร้อนสลับกันไปบ้างก็มีอยู่แค่สองขั้ว ที่สำคัญก็คืออาณาจักรจีนถูไถยังไปต่อได้
แต่แล้วเมื่อฮ่องเต้เด็กหองจูเปียนขึ้นครองอำนาจ อ้วนเสี้ยวลูกหลานตระกูลขุนนางใหญ่เห็นบ้านเมืองวุ่นวายเพราะขันที จึงนำเสนอลูกพี่โฮจิ๋นพระญาติฝ่ายฮองไทเฮาให้กวาดล้างขันทีให้เกลี้ยง ด้วยการไปเชิญเอากองกำลังของตั๋งโต๊ะขุนศึกแดนตะวันตกเฉียงเหนือมาทำภารกิจนี้
แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ กลุ่มขันทีรู้ทันจึงชิงกวาดล้างพรรคพวกโฮจิ๋นก่อน เป็นอันว่าเสาหลักฝั่งพระญาติฝ่ายแม่เป็นอันล้มครืน
ต่อด้วยอ้วนเสี้ยวเข้ากวาดล้างขันทีให้สิ้นซากชำระแค้นแทนลูกพี่ การกวาดล้างขันทีครั้งนี้เป็นการกวาดล้างที่ขึ้นชื่อลือชา เพราะเหมารวมกวาดเรียบทั้งราชสำนัก ขอแค่ไม่มีหนวดขึ้นเท่านั้นเป็นอันฆ่าเกลี้ยง ไม่แยกแยะดีเลวใดๆ
คราวนี้เรียกได้ว่าเสาที่คอยค้ำราชบัลลังก์อีกต้นล้มตามเป็นโดมิโน องค์ฮ่องเต้วัยเยาว์จะเอาความสามารถที่ไหนมาค้ำจุนตัวเอง
รายละเอียดสถานการณ์นั้นมีมากมาย แต่สรุปสุดท้าย บ้านเมืองเหลือแค่กลุ่มขุนนางปะทะกลุ่มขุนศึกท้องถิ่น ลองคิดดูว่าใครจะชนะ
สถานการณ์ปกติถ้าเสาหลักสองขั้วไม่หายไปไหน ระบบยังพอเอื้อกลุ่มตระกูลขุนนางให้ได้เปรียบกลุ่มขุนศึก แต่ตอนนี้ระบบทั้งหลายสลายหมด ตกอยู่ในสถานการณ์ "อำนาจมาจากปากกระบอกปืน" เท่านั้น
ในเมื่อเป็นขุนนางแล้วต่อกรกับอำนาจขุนศึก ท้องถิ่นไม่ได้ แต่ละคนก็ต้องเปลี่ยนชุดเป็นขุนศึกท้องถิ่นแล้วค่อยกลับมาดวลกำปั้นดวลปืนกัน ไม่ว่าขุนนาง (อ้วนเสี้ยว) หลานบุญธรรมขันที (โจโฉ) นายทหาร (ซุนเกี๋ยน) คนถักรองเท้า (เล่าปี่) ต้องสวมหมวกขุนศึกเท่านั้นจึงต่อรองในเวทีใหม่ได้
สามก๊กจึงเปิดฉากขึ้น
ผู้คนในยุคนั้นย่อมไม่รู้ว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้าง บรรดาขุนศึกทั้งหลายต่างคิดว่าการล้างบางครั้งนี้จะจบลงด้วยใครกำปั้นใหญ่ที่สุดถึงจะได้ครองแผ่นดิน แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า กว่าอำนาจฮ่องเต้จะกลับมามั่นคงด้วยระบบโครงสร้างค้ำยันกันได้ จะต้องรอถึงราชวงศ์ถัง หลังจากนั้นอีกกว่า 400 ปี
ยุคสามก๊ก, เว่ย, จิ้น ราชวงศ์เหนือใต้ ต่อจนถึงราชวงศ์สุย ฮ่องเต้ก็แค่ขุนศึกที่แกร่งกล้าที่สุด ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่มีตำแหน่งมั่นคงเพราะโครงสร้างสถาบันแบบดั้งเดิม
ทั้งหมดนี้ต้องยกได้ว่าเป็นวีรเวรวีรกรรมของอ้วนเสี้ยว ภายในปีเดียวอ้วนเสี้ยวล้มโดมิโนพระญาติฝ่ายแม่ ขันที จนถึงกลุ่มขุนนาง อ้วนเสี้ยวคือผู้เปิดกล่องแพนโดร่ารับศักราชใหม่โดยแท้จริง
ทำเอาสถานการณ์ที่แม้ดูเหมือนไม่มั่นคงแต่ยังอยู่ได้ กลับกลายเป็นพังราบไปต่อหน้าต่อตา แล้วตามมาด้วยยุคขุนศึกแย่งยึดอำนาจต่อเนื่อง
นั่นทำให้ไม่ว่าชัยชนะของใครในสามก๊กก็ไม่เคยยั่งยืน เป็นเพียงชัยชนะส่วนบุคคลที่เป็นเปลือกนอกเท่านั้น และความไม่ยั่งยืนยังยืดเยื้อไปไกลกว่านั้น กว่าระบบจะซ่อมแซมตัวเองได้ก็อีกหลายร้อยปี
เรื่องของอ้วนเสี้ยวจึงไม่ใช่แค่บทเรียนเรื่องนิสัยส่วนตัว แต่ยังเป็นบทเรียนของการกระทำที่สร้างความวุ่นวายระดับทำลายโครงสร้าง
และนี่ไม่ใช่ปัญหาของนิสัยเล็กๆ น้อยๆ ส่วนตัว แต่คือบทเรียนจากอ้วนเสี้ยวผู้เปิดกล่องแพนโดร่าแห่งประวัติศาสตร์จีน


