สองคนยลตามช่อง
สมผล ตระกูลรุ่ง "สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย"
สมผล ตระกูลรุ่ง
"สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย"
ภาษิตข้างต้นเป็นการสรุปความจริงว่า คนเราต่างคนต่างมุมมอง เรื่องเดียวกัน เหตุการณ์เดียวกัน สิ่งของเดียวกัน คนสิบคนมอง เป็นไปได้ที่จะมีสิบความเห็น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของแต่ละคนที่ได้รับการอบรมหรือได้รับข้อมูลมาอย่างไร
หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง เคยยกตัวอย่างสองคนยลตามช่องไว้ โดยยกเอาไม้ท่อนหนึ่งยาว 2 เมตร มาเป็นโจทย์ ไม้ท่อนนี้มันเป็นอยู่ตามสภาวะของมัน ถ้าจะถามว่า ไม้ท่อนนี้ยาวหรือสั้น คนที่ต้องการใช้ไม้ยาวก็จะบอกว่าสั้น คนที่ต้องการใช้ไม้สั้นก็จะบอกว่ายาว ส่วนคนที่ต้องการใช้ไม้ยาว 2 เมตร จะบอกว่า กำลังพอดี
ที่มาของภาษิตนี้ แปลมาจากฝรั่ง จากการค้นหา บ้างก็ว่าเป็นของ Frederick Langbridge ที่ว่า "Two men look out the same prison bars; one sees mud and the other stars"
บ้างก็ว่าเป็นของ เชกสเปียร์ "Two folks look through same hole, one sees mud, one sees star" แต่ที่ตรงกัน คือ ภาษิตนี้ถอดความเป็นภาษาไทยโดยท่านภราดา ฟ. ฮีแลร์ แห่งโรงเรียนอัสสัมชัญ เมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว ท่านเป็นครูที่ชาวอัสสัมชัญรู้จักและให้ความเคารพยกย่อง เป็นผู้ที่แตกฉานภาษาไทย เรียนภาษไทยจนสามารถแต่งตำราเรียนภาษาไทยได้ บทอาขยานที่ท่องกันว่า "วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล..." ก็เป็นท่านประพันธ์ขึ้น
สรุปว่า ภาษิตนี้เดิมเป็นภาษาอังกฤษ แปลเป็นภาษาไทยได้อย่างไพเราะโดยชาวฝรั่งเศส
ยิ่งการตีความกฎหมาย ยิ่งอยู่ในภาษิต สองคนยลตามช่อง ต่างคน ต่างความเห็น ต่างมุมมอง และหากมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีทิฐิมุ่งแต่จะเอาชนะกัน จะยิ่งสร้างปัญหาให้กับสังคม
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ล้วนมีความเห็นที่แตกต่างกัน ทั้งนั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของปุถุชน ความเห็นต่างไม่ใช่เรื่องเสียหาย ยิ่งในระบอบประชาธิปไตย ความเห็นต่างถือเป็นความงดงาม เพียงแต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสุจริต ต้องยึดถือประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก หากเห็นต่างโดยยึดประโยชน์ ส่วนรวมแล้ว ประเทศจะพัฒนาเจริญก้าวหน้า
งานถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นงานที่ชาวไทยร่วมใจกันทำถวายพระองค์ท่านด้วยความอาลัย ทำโดยไม่ได้คิดว่าจะต้องใช้เงินเท่าใด ทำเพราะอยากจะทำ เป็นการทำด้วยใจไม่ใช่ทำด้วยเงิน จึงได้เนรมิตผลงานเป็นความสวยงามอลังการ ในเวลาไม่ถึงปี
พระเมรุมาศที่สร้างขึ้นเพื่อถวายพระเกียรติให้กับพระมหากษัตริย์ เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่มีประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า 700 ปี โดยนับจากสมัยสุโขไทยที่มีหลักฐานปรากฏ พระเมรุมาศที่สร้างขึ้น ไม่ใช่เพียงเพื่อความงดงาม แต่เป็นการสร้างเพื่อ บ่งบอกเรื่องราว เป็นการจำลองสภาพ ของสรวงสวรรค์ให้คนบนดินได้ชม เป็นเรื่องราวทางวัฒนธรรมของชาติ
การก่อสร้างพระเมรุมาศ เป็นศิลปะชั้นสูง ไม่เพียงแต่รูปทรงอาคาร แต่การตกแต่งต้องใช้ช่างฝีมือ ทั้งงานปั้น งานจิตรกรรม งานแกะสลัก ล้วนใช้ฝีมืออย่างละเอียดประณีตบรรจง เป็นงานที่วิจิตรงดงามยากจะหางานศิลปะของชาติใดๆ เทียบเคียงได้ โดยเฉพาะฝรั่งอเมริกาที่เพิ่งจะก่อตั้งประเทศแค่ 200 ปี และก่อตั้งจากพวกนักเลงอันธพาลที่หมดทางทำมาหากินในยุโรป ต้องเสี่ยงชีวิตไปหากินยังสถานที่ใหม่ โดยการบุกรุกแย่งที่ดิน ทำกินของคนเผ่าพื้นเมือง ใช้อาวุธที่ร้ายแรงเข่นฆ่าคนพื้นเมือง แทนที่จะใช้วิธีการแบ่งปันและยอมรับเจ้าของพื้นที่ เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ
ถ้ามองกันอย่างเป็นธรรม จะเห็นว่า ฝรั่งที่ไปบุกเบิกอเมริกา คือ การไปบุกรุกเข่นฆ่าคนพื้นเมือง เพื่อแย่งที่ทำกิน แล้วสร้างเป็นหนังคาวบอยใส่สีตีไข่ให้คนพื้นเมืองเผ่าอินเดียแดงเป็นผู้ร้าย พวกตนเองเป็นพระเอก เป็นผู้ดี
ฝรั่งพวกนี้ไม่ได้รู้จักกับศิลปวัฒนธรรมชั้นสูง จึงได้กล่าวหาว่า การสร้างพระเมรุมาศเป็นความฟุ่มเฟือย ใช้งบมากเกินไป น่าจะเอาเงินไปช่วยคนยากคนจน บางคนอ้างว่า ไม่เป็นไปตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่าน
อะไรคือความฟุ่มเฟือย หากเอาความจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตเป็นเกณฑ์ ถ้าการทำอะไรเกินความจำเป็นย่อมถือเป็นการฟุ่มเฟือยแล้ว มนุษย์ ทุกคนในโลกนี้ล้วนแต่ฟุ่มเฟือยทั้งสิ้น
ความจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตมีเพียงปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่อง นุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค สิ่งอื่นนอกจากนี้ ล้วนไม่มีความจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต มนุษย์ทุกวันนี้กินอาหารไม่ใช่เพื่อความอยู่รอด แต่กินเพื่อความอร่อย เครื่องนุ่งห่มยิ่งชัดเจนว่า ไม่ใช่เพียงเพื่อป้องกันหนาวร้อน แต่เป็นแฟชั่นที่ต้องแข่งขันกัน ที่อยู่อาศัยก็เช่นกัน เราสร้างคฤหาสน์ใหญ่โตเพียงแค่ใช้นอนไม่เกิน 2 ตารางเมตร อาจจะมียารักษาโรคเท่านั้นที่ไม่มีใครอยากจะแข่งขัน แต่หากเป็นยาเพื่อเสริมความงามก็ยังคงใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยอยู่นั่นเอง
ความฟุ่มเฟือยในบริบทนี้ ฝรั่งเองนั่นแหละที่ฟุ่มเฟือยมากกว่าพวกเรา ไม่เพียงพระราชพิธีหรือพิธีการต่างๆ ของฝรั่ง ที่ใช้เงินมากมายมหาศาล แต่คนฝรั่งเองใช้ชีวิตกับสิ่งฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นในการดำรงชีวิตอย่างมากมาย สื่อฝรั่งกลับไม่วิพากษ์วิจารณ์
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง หลักเศรษฐกิจ พอเพียงนี้ พระองค์ไม่ได้บอกให้ไปทำสวนทำไร่ แต่พระองค์สอนมาตลอดว่า เศรษฐกิจพอเพียงนี้ใช้กับทุกอาชีพ ใช้กับคนทุกฐานะไม่ว่ามหาเศรษฐีหรือคนยากจน เศรษฐีมีเงินร้อยล้าน จะซื้อนาฬิกาเรือนละ 5 แสนบาท มาใส่ ก็ยังถือว่าพอเพียงสำหรับฐานะของเขา เศรษฐกิจพอเพียงก็คือทางสายกลาง ซึ่งต่างคนต่างมีทางสายกลางที่ เหมาะสมกับตัวเอง ไม่เท่ากันทุกคน
พระเมรุมาศ เป็นการทำด้วยใจ แต่แม้ไม่ได้ทำเพื่อเงิน ไม่ได้ทำเพื่อให้คุ้มค่าทางวัตถุ ผลที่ได้โดยไม่ต้อง คาดหวัง กลับมากมายมหาศาล
งานพระราชพิธีมีการถ่ายทอด ไปทั่วโลก ศิลปะความงามของ พระเมรุมาศ อย่าว่าแต่คนต่างชาติ ที่ตะลึงกับความงดงามของศิลปะไทย แม้คนไทยเองก็ยังอยากเข้าไปสัมผัส อยากเห็นความละเอียดประณีต ของฝีมือช่างไทย ที่ร่วมกันสร้างสรรค์งานได้อย่างวิจิตรบรรจงภายใน เวลาอันสั้น
เพียงแค่ภาพพระเมรุมาศที่ด้านหลังเป็นพระบรมมหาราชวัง เผยแพร่ไปให้ชาวโลกได้เห็น คุ้มค่ามากกว่าจำนวนเงิน 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างเทียบกันไม่ได้
ที่นี่ประเทศไทย ไม่ได้อาศัยเศษฝรั่งตาน้ำข้าว เราก็อยู่ของเราได้อย่างพอเพียง ไม่เดือดร้อนอะไร


