ความโกรธ
ความเจ้าอารมณ์และความโกรธของคนนี่มันร้ายกาจจริงๆ นะครับ
โดย สธน เปลี่ยนจันทรสิริตระกูล
ความเจ้าอารมณ์และความโกรธของคนนี่มันร้ายกาจจริงๆ นะครับ พอความโกรธเข้าครอบงำใจก็มืดบอด ผิดถูกเริ่มมองไม่เห็นแล้วละว่านั่นคือคนที่รักนะ นั่นคือพ่อแม่ นั่นคือผู้มีพระคุณ โกรธมากก็ไม่มีสติ พอขาดสติก็กลายเป็นโทสะ เกิดการประทุษร้าย ลงไม้ลงมือทำร้ายประหัตประหารในที่สุด
ผลที่ตามมาหลังระเบิดแห่งความโกรธสงบเงียบลงคือความพินาศย่อยยับ ความสูญเสียที่ไม่สามารถเอาคืนกลับมาได้ แล้วคนที่ทำก็ต้องทุกข์ทรมานใจเหมือนร่างกายถูกไฟไหม้ มีตัวอย่างให้เห็นทุกวันในสื่อต่างๆ
ผมเคยอ่านหนังสือธรรมะของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 ชื่อหนังสือ "ฝึกใจ" สำนักพิมพ์อมรินทร์จัดพิมพ์ร่วมฉลองพระชันษา 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร มีพูดถึงเรื่องความโกรธไว้ควรแก่การถ่ายทอด
สมเด็จพระญาณสังวร ตรัสว่า ทุกคนรู้ว่าความโกรธไม่ดีแต่แทบทุกคนเหมือนไม่รู้และแทบไม่ได้ให้ความสนใจที่จะไม่โกรธ ซึ่งเป็นความไม่ดีออกจากจิตใจตัวเอง แต่มักจะมุ่งไปจัดการกับความโกรธที่อยู่ในคนอื่นมากกว่า ความโกรธจึงเต็มแทบไปทุกชีวิตจิตใจ ก่อให้เกิดความทุกข์ ความร้อนแผดเผาใจทุกหนทุกแห่งทุกเวลานาที
"จิตกำเริบคือจิตที่รุนแรงขึ้นกว่าปกติ เมื่อใดความโกรธเกิดขึ้นในผู้ใด ในเรื่องใด ด้วยเหตุใด จิตของผู้นั้นจะร้อนรุนแรงร้ายกาจขึ้นพร้อมกันในทันที
แล้วความโกรธที่รุนแรงเกิดสามารถทำความร้ายรุนแรงได้นานาประการ แล้วความโกรธเพียงวูบเดียวก็ทำให้ต้องกลายเป็นผู้ร้ายฆ่าคนได้ คนดีๆ คนหนึ่งต้องกลายเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตายและต้องโทษประหาร"
พระองค์ตรัสอีกว่า ผู้ตกอยู่ในใต้อำนาจความโกรธย่อมทำสิ่งที่ทำยากเหมือนทำง่าย เช่น ฆ่าได้แม้ลูกเมียหรือสามี ฆ่าได้แม้มารดาบิดาที่มีพระคุณเหนือชีวิตจิตใจ
"เมื่อวูบหนึ่งของความโกรธผ่านพ้นไปแล้ว จิตสงบจากความกำเริบแล้ว ร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นที่รักก็นอนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าแล้ว ความร้อนใจที่เกิดแต่ความสำนึกผิดในสิ่งที่ได้กระทำลงไปด้วยความโกรธก็เพียงพอทำเนา กาลเวลาพอทำให้บรรเทาเบาบางถึงสงบสิ้นได้ แต่ทว่าความร้อนใจที่เกิดแก่อาชญาที่จะได้รับเพราะโทษที่ได้กระทำลงไปนั้นจะไม่มีทางแก้ไขได้เลย"
พระองค์ตรัสย้ำว่า ความโกรธนั้นไม่มีคุณมีแต่โทษ เพราะฉะนั้นขณะที่ความโกรธยังไม่เกิดแก่จิตใจของตัวเอง ความคิดปรุงแต่งให้ความโกรธเกิดยังไม่มี ก็ให้เตรียมตัวเตรียมใจให้เต็มที่
"ง่ายๆ คือรับรู้วิธีสำคัญที่ให้เกิดผลเป็นความไม่ตกเป็นทาสของความโกรธ วิธีนั้นก็คือให้ควบคุมความคิดของตัวเองให้ดี เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัสถูกต้อง ใจได้รู้อารมณ์ ให้ควบคุมสติให้มั่น ไม่ปล่อยให้ความคิดปรุงแต่งไปในทางที่จะก่อให้เกิดความโกรธ คิดอย่างไรจะไม่โกรธก็ต้องพยายามควบคุมสติอย่าคิดอย่างนั้นให้ได้"
พระองค์ตรัสต่อว่า สติสำคัญ ต้องรักษาสติ เพราะต้องมีสติจึงจะรู้ทันในความคิดของตนว่าเป็นไปอย่างไร คิดปรุงแต่งไปให้ความโลภเกิด หรือให้ความโกรธเกิด หรือให้ความหลงเกิด สติจะทำให้รู้ได้ถึงความคิดดังกล่าว ไม่มีสติจะทำให้ไม่รู้ ดังนั้น พึงอย่าลืมว่า สติสำคัญ ต้องรักษาสติให้มั่น
แล้ววิธีการรักษาสติที่ง่ายที่สุด ประการหนึ่งก็คือการหาหลัก "ผูกสติ" อย่าให้สติหลุดลอยเลื่อนไหลไปตามสบาย และหลักที่สำคัญที่สุดคือหลักพุทโธนั่นเอง
"ท่องพุทโธไว้ทุกเวลานาทีที่ไม่วุ่นวาย ธุรกิจการงานที่ต้องใช้ความคิดและสมอง นั่นแหละคือการฝึกสติหรือฝึกใจให้อยู่กับที่ อยู่กับหลักพุทโธ ทำไปเถิด สติจะมั่นคงขึ้นเป็นลำดับ การรู้ทันความคิดจะเกิดตามมาพร้อมกัน เป็นคุณแก่ชีวิตอย่างยิ่ง"
พระองค์ตรัสว่า ยิ่งสติมีมากเพียงไร การควบคุมรักษาความคิดปรุงแต่งไม่ให้เป็นไปอย่างไม่ถูกไม่ควรจะทำได้ดีขึ้น นั่นก็คือจะไม่วุ่นวาย จะไม่มืดมน จะไม่เศร้าหมองด้วยกิเลสสามกองสำคัญอย่าง โลภะ โทสะ โมหะ
"เพราะกิเลสทั้งสามกองนี้แม้มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลก ก็หาได้มีขามีเท้าที่จะวิ่งไปหาใครได้ไม่ ต้องถูกยื้อยุดฉุดเข้าไปจึงจะเข้าไปได้ นั่นก็เพราะความคิดปรุงแต่งยื้อยุดเต็มแรง ความเดือดร้อน ความเศร้าหมองจึงจะเกิดขึ้น"
สรุปได้ว่า ความโกรธนั้นไม่ดีเลยและไม่ดีเอามากๆ เป็นไปตามพระพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้า เช่น เวลาโกรธย่อมไม่เห็นธรรม ผู้ถูกความโกรธครอบงำย่อมละกุศล ย่อมมีผิวพรรณเศร้าหมอง ย่อมถึงความไร้ยศศักดิ์ ผู้โกรธจะผลาญสิ่งใดสิ่งนั้นทำยากก็เหมือนทำง่าย ผู้โกรธย่อมฆ่ามารดาของตนได้ เมื่อความโกรธหายแล้วย่อมเดือดร้อนเหมือนถูกไฟไหม้ เป็นต้น


