posttoday

จอมทัพไทยในโลกยุคใหม่

23 ตุลาคม 2560

วันนี้เป็นวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 คงจะเป็นวันแห่งน้ำตาอันเศร้าสลดอีกวันหนึ่งหลังครบ 1 ปีที่เสด็จสวรรคต ในวันที่ 13 ต.ค. 2560 แต่ในเบื้องลึกน้ำตานั้นหลั่งมาจากความปีติซาบซึ้งในพระบารมีที่ทรงสั่งสมมาจากพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ในช่วงกว่า 70 ปีที่ทรงครองแผ่นดินโดยธรรมอย่างแท้จริง

วันนี้เป็นวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 คงจะเป็นวันแห่งน้ำตาอันเศร้าสลดอีกวันหนึ่งหลังครบ 1 ปีที่เสด็จสวรรคต ในวันที่ 13 ต.ค. 2560 แต่ในเบื้องลึกน้ำตานั้นหลั่งมาจากความปีติซาบซึ้งในพระบารมีที่ทรงสั่งสมมาจากพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ในช่วงกว่า 70 ปีที่ทรงครองแผ่นดินโดยธรรมอย่างแท้จริง

ในสมัยโบราณบทบาทพื้นฐานของกษัตริย์คือจอมทัพผู้กู้บ้านครองเมือง ในยุคที่ผ่านมา แม้มิได้ทรงจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับอริราชศัตรู แต่ก็ทรงเป็น "จอมทัพไทย" ผู้ปกป้องปวงชนในการต่อสู้กับความยากจน อย่างมิทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย อีกทั้งทรงเป็นพลังสำคัญให้กับเหล่าทหารตำรวจที่ต้องเสี่ยงชีวิตภายใต้การคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเติบโตบนความยากจนของประชาชน

การครองแผ่นดินของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในฐานะกษัตริย์นักพัฒนาถือเป็นการนำพาบทบาทกษัตริย์สู่ยุคสมัยใหม่ พระองค์เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียนประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะในชนบทยากไร้ห่างไกลความเจริญ ทรงเรียนรู้ถึงปัญหาความยากลำบากของราษฎร ทรงศึกษาหาทางแก้ไขอย่างยั่งยืน และมีพระราชดำริก่อตั้งโครงการพัฒนานับพันที่ได้ช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้น

การนำสถาบันกษัตริย์สู่ยุคสมัยใหม่นั้น ไม่ใช่เพียงสำหรับประเทศไทย แต่มีนัยในระดับโลกด้วย ดังที่พระราชาธิบดีจิกมีแห่งประเทศภูฏานทรงยอมรับนับถือ แม้กษัตริย์ต่างชาติอย่างพระองค์เป็นแบบอย่าง ทั้งที่พระราชบิดาท่านเองก็ทรงมีผลงานยิ่งใหญ่ อาทิ พระราชทานรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งให้ประชาชน

ไม่แปลกที่กษัตริย์ภูฏานเลือกองค์รัชกาลที่ 9 เป็นแบบอย่าง เพราะขนาดองค์การสหประชาชาติก็ยังให้การยอมรับนับถือ โดยในปี 2549 ได้ถวายรางวัล "ความสำเร็จสูงสุด ด้านการพัฒนามนุษย์" ซึ่งเป็นปีแรกในประวัติศาสตร์ที่เริ่มมีรางวัลนี้ โดยเขาเจาะจงที่จะถวายพระองค์

โคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า การพัฒนาคนคือการให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอันดับแรก ซึ่งไม่มีผู้ใดทำได้ยิ่งไปกว่าพระองค์ อีกทั้งพระราชดำริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์สำหรับโลกาภิวัตน์ ยังได้ช่วยนำพาบทสนทนาระดับโลกเกี่ยวกับการพัฒนาด้วย

ในยุคสมัยใหม่ที่ได้มีการผ่อนคลายราชประเพณีในสถาบันกษัตริย์ในหลายประเทศโดยเฉพาะทวีปยุโรป ประเทศไทยดูเหมือนจะล้าหลังเพราะยังเคร่งครัด แต่หากพิจารณาการวางพระองค์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในหลายกรณีก็มิอาจสรุปเช่นนั้นได้

ตั้งแต่การที่นายกรัฐมนตรีทุกยุคสมัยสามารถเข้าเฝ้าฯ โดยนั่งเก้าอี้เสมอกับพระองค์ท่าน จนถึงพระราชดำรัสในปี 2548 ความว่า สาธารณชนพึงวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ได้ นอกจากนี้จะพบว่าได้พระราชทานความเป็นกันเองให้กับประชาชนหลายหมู่เหล่าที่เสด็จฯ เยี่ยม ตั้งแต่นักศึกษาจนถึงชาวเขาในชนบทห่างไกล ตามเกร็ดที่เขียนเล่าโดย ปรก อัมระนันทน์ อดีตเอกอัครราชทูตประจำกรุงวอชิงตัน...

"...ณ หมู่บ้านชาวเขาแห่งหนึ่ง ไม่มีการตั้งแถวรอรับเสด็จ...บนบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านนั้น ท่านประทับบนพื้นในระดับเดียวกับเจ้าของบ้านภายในห้อง...มืดอับ ทรงปฏิสันถารกับชาวเขาอย่างไม่มีพิธีรีตอง รับสั่งถามถึงความคืบหน้าของการเพาะปลูกพืชพันธุ์อย่างละเอียด ความ พอเพียงของน้ำ ฯลฯ" มีการนำขันน้ำมาถวายและให้ผู้ตามเสด็จฯ ด้วย แต่ดูไม่สะอาดและไม่เห็นว่าเป็นน้ำอะไร

"ข้าพเจ้าคิดในใจว่าเห็นจะไม่เสี่ยงที่จะดื่มน้ำในขันนั้น แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับขันน้ำที่ดำเขรอะ แล้วทรงยกขึ้นเสวยอย่างประคับประคอง..."

ในขณะที่ "จอมทัพไทย" ทรงต่อสู้กับความยากจนเพื่อปกป้อง ชาวเขาชาวชนบทมิให้ตกเป็นเครื่องมือของลัทธิคอมมิวนิสต์ ก็ยังได้พระราชทานความใกล้ชิดเป็นกันเองกับนักศึกษาในการเสด็จฯ ทรงดนตรีในมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยมีพระราชดำรัสที่บ่มเพาะมโนธรรมพร้อมๆ ไปกับประชาธิปไตย ถือเป็นอีกยุทธศาสตร์ของ "จอมทัพไทย" ที่จะตัดกำลังของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่กำลังแทรกซึมหาแนวร่วมในกลุ่มปัญญาชน

นอกจากนี้ ยังเสด็จฯ พระราชทานกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ตลอดจนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยเป็นประจำ นับเป็นบทบาท "จอมทัพไทย" ที่ใกล้เคียงแบบโบราณ เพราะเสี่ยงต่อความปลอดภัยของพระองค์เองด้วย

ที่ จ.น่าน แม้ผู้ก่อการร้ายได้ยิงปืนครกไปในบริเวณที่จะเสด็จฯ ในคืนก่อน ทำให้เกิดการบาดเจ็บเสียหาย แต่ก็ยังเสด็จฯ ไปเพราะทรงทราบว่าชาวบ้านไปคอยพระองค์อยู่ 2 คืนแล้ว ที่ จ.ยะลา ในสนามกีฬากลางเมือง ขณะกำลังจะพระราชทานพระราชดำรัสได้เกิดระเบิดขึ้นที่หน้าพระที่นั่ง 2 ลูกติดๆ แต่พระองค์ท่านไม่ยอมเสด็จฯ กลับ ทรงรับสั่งต่อโดยทรงปลอบให้ชาวบ้านกลับเข้าสู่ความสงบ จบแล้วก็ยังเสด็จฯ ลงมาพบชาวบ้านข้างล่าง และเสด็จฯ ไปเยี่ยมคนเจ็บที่โรงพยาบาลด้วย

บทบาทต่างๆ ขององค์จอมทัพไทยได้ช่วยปกป้องแผ่นดินให้พ้นภัยจากการเปลี่ยนระบอบเศรษฐกิจสังคมเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งกาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่ารังแต่จะสร้างความยากจนข้นแค้นแก่ประชาชนโดยทั่วไป

แม้จะมีการพร่ำสรรเสริญพระองค์จนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ แต่ หากพิจารณาหลักฐานในพระราชกรณียกิจ คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าล้นเกล้าฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหา ที่สุดมิได้

ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ n

ข่าวล่าสุด

คนละครึ่งพลัส หนุน “พาสต้า บ่? - มีลาภ อุบลฯ" ยอดขายพุ่ง แชมป์ร้านต่างจังหวัดขายดี