พาพิชญ์ วงศ์ไพฑูรย์ปิยะ ศึกษา ทำการบ้าน มั่นใจแล้วค่อยทุ่ม
เรื่อง บงกชรัตน์ สร้อยทอง / ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี พาพิชญ์ วงศ์ไพฑูรย์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ริช สปอร์ต (RSP) ผู้ได้ลิขสิทธิ์การจำหน่ายแบรนด์สินค้าชื่อดังอย่าง "คอนเวิร์ส" และ "โพนี่" ปัจจุบัน อายุ 31 ปี ถือเป็นซีอีโอที่มีอายุน้อยคนหนึ่ง แต่เธอก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่กำลังจะนำบริษัทเข้าระดมทุนและจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประมาณเดือน พ.ย.ที่จะถึงนี้
เรื่อง บงกชรัตน์ สร้อยทอง / ภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี
พาพิชญ์ วงศ์ไพฑูรย์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ริช สปอร์ต (RSP) ผู้ได้ลิขสิทธิ์การจำหน่ายแบรนด์สินค้าชื่อดังอย่าง "คอนเวิร์ส" และ "โพนี่" ปัจจุบัน อายุ 31 ปี ถือเป็นซีอีโอที่มีอายุน้อยคนหนึ่ง แต่เธอก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่กำลังจะนำบริษัทเข้าระดมทุนและจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประมาณเดือน พ.ย.ที่จะถึงนี้
สำหรับเรื่องการบริหารเงินหรือการลงทุน ความที่เป็นคนรุ่นใหม่ปัจจุบันถือเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น อีกทั้งเธอเองก็เรียนมาทางด้านการเงิน คณะพาณิชย ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงมีโอกาสได้เข้าไปสัมผัส "หุ้น" มาตั้งแต่เป็นนักศึกษากันเลยทีเดียว
แต่ใช่ว่าจะได้ผลดีตั้งแต่แรก เธอเริ่มลงทุนหุ้นตั้งแต่เป็นนักศึกษา เพราะเห็นทุกคนที่อยู่รอบตัวเริ่มลงทุนหมด ทั้งที่บ้านและเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัย หุ้นตัวแรกคือเป็น "หุ้นเพื่อนบอก" ซึ่งเป็นหุ้นปั่น เข้าไปแบบไม่มีความรู้ และจำเหตุการณ์กับบรรยากาศได้แม่น เพราะตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีการใช้เกณฑ์เซอร์กิตเบรกเกอร์ เหมือนเป็นค่าครูที่ทุกคนต้องเจอหากไม่มีการศึกษาหรือทำการบ้านที่ดีพอ จึงจบด้วยการขาดทุนไปถึง 50% ผลของความเสียหายในหลักหลายหมื่นบาท
จนหยุดซื้อขายหุ้นไปสักพักแล้วจึงเริ่มกลับมาเริ่มแก้ตัวใหม่ เปลี่ยนวิธีคิดและการปฏิบัติมากขึ้น ด้วยการมาศึกษาด้วยตัวเองมากขึ้นทั้งจากการอ่านหนังสือ และดูข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตจากบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ได้มีความสนใจจากงานที่ผู้บริหารมาพบผู้ลงทุนหลังประกาศผลประกอบการ (ออฟเดย์) รวมทั้งอ่านพวก 56-1 ของ บจ.ต่างๆ จะมีรายชื่อขึ้นไว้ ถ้าสนใจบริษัทไหนเข้าไปทำการบ้านทีละบริษัท เพราะไม่มีเวลาอ่านข้อมูลของ บจ.ได้ทุกบริษัท
เธอเล่าว่า ส่วนใหญ่จะเลือกหุ้นที่เน้นตัวสัมผัสได้จริง อย่างก่อนหน้านี้ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ที่ตัดสินใจซื้อเพราะตอนนั้นทำอินเทอร์เน็ตสู่กลุ่มลูกค้าบ้านด้วย 3BB ซื้อตั้งแต่กว่า 1 บาท จนมีกำไรกว่า 3 บาท โดยจุดทำกำไรเอาตามความสบายใจตัวเองเป็นหลัก เพราะถ้าตั้งเป้าหมายไว้กลัวไปไม่ถึงเพราะไม่ได้มีเวลาไปดูทุกวัน โดยจะเริ่มสนใจขายเมื่อตอนที่คนเริ่มพูดถึงหุ้นที่ถืออยู่เยอะ และคิดว่าตรงนั้นคือจุดสูงสุดแล้วควรขายทำกำไรออกไป
จากนั้นก็ไปลงทุนบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL) ก่อนจะมีการควบรวมเป็น บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ในปัจจุบัน ซึ่ง BMCL ถือว่าถือยาว เพราะราคาต่ำกว่า 1 บาท แต่เข้าไปซื้อช่วงที่กว่า 1 บาท รอราคาหุ้นขึ้นมาจนควบรวมก็ยังถือสักพัก เป็นธุรกิจที่ทุกคนต้องใช้เดินทางและไม่ได้ต่างอะไรจาก บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) มาก แต่ราคา BTS สูงแล้ว ทำให้เห็นว่ามีศักยภาพในการเติบโตสูง
ขณะเดียวกัน ก็ลงทุนควบคู่ไปกับ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ (CKP) เพราะมองว่าไฟฟ้าในไทยยังขาดแคลน ไม่เช่นนั้นคงไม่เห็นบริษัทด้านพลังงานเต็มไปหมด CKP ลงทุนพลังน้ำในลาวต้องมีการจ่ายไฟมาเมืองไทยจึงมองว่ามีศักยภาพแน่นอน
"ดูแล้วเป็นกลุ่มที่เน้นจับต้องได้และตัวเรามีความเข้าใจในธุรกิจ อีกทั้งทำให้รู้ตัวเองว่าเป็นคนที่รอได้ และเลือกที่จะทุ่มหนักกับหุ้นที่เรามั่นใจ ก็จะลงให้เต็มที่ เพราะชอบรับผลกำไรที่เป็นกอบเป็นกำมากกว่า เพราะไม่มีเวลามานั่งดูเป็นเดย์เทรด คิดว่าการดูหุ้นขึ้นๆ ลงๆ จะเสียสุขภาพจิตแล้วก็จะไปขายมัน ตอนนี้ยังถือ CKP แม้ผลประกอบการยังไม่ดีแต่เรารอได้ เพราะเงินที่เอามาลงทุนเป็นเงินในส่วนที่กันไว้ออมเพื่อการลงทุนอยู่แล้ว"
ปัจจุบันพอร์ตหุ้นคิดเป็น 50% ของพอร์ตโดยรวม โดยคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนที่ 20% ต่อปี ที่ี่เหลือจะเป็นคนที่ปลอดภัยอย่าง ประกันชีวิตหรือกองทุนรวมรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่มีสัดส่วนพันธบัตรบ้าง แต่ก็จะดูที่ให้ผลตอบแทนที่มากกว่าฝากเงิน


