การดำรงอยู่ของพุทธศาสนา
สมผล ตระกูลรุ่ง "ดูก่อนกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว หากพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ที่ไม่มีความเคารพไม่มีความยำเกรงในพระบรมศาสดา ไม่มีความเคารพไม่มีความยำเกรงในพระธรรม ไม่มีความเคารพไม่มีความยำเกรงในพระสงฆ์ ไม่มีความเคารพไม่มีความยำเกรงในสิกขาบท ไม่มีความเคารพไม่มีความยำเกรงซึ่งกันและกัน ดูก่อนกิมพิละ ปฏิปทานี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่ได้นาน"
สมผล ตระกูลรุ่ง
"ดูก่อนกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว หากพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ที่ไม่มีความเคารพไม่มีความยำเกรงในพระบรมศาสดา ไม่มีความเคารพไม่มีความยำเกรงในพระธรรม ไม่มีความเคารพไม่มีความยำเกรงในพระสงฆ์ ไม่มีความเคารพไม่มีความยำเกรงในสิกขาบท ไม่มีความเคารพไม่มีความยำเกรงซึ่งกันและกัน ดูก่อนกิมพิละ ปฏิปทานี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่ได้นาน"
พุทธพจน์นี้ พระพุทธองค์ตรัสกับพระกิมพิละ ณ วัดเวฬุวัน เมื่อกว่า 2,500 ปีมาแล้ว
พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ศาสนาของพระองค์จะดำรงอยู่ 5,000 ปี แม้พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้ด้วยพุทธบริษัท 4 แต่สัญลักษณ์ที่จะแสดงว่าพระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ คือ ยังมีพระภิกษุอยู่ เพราะพระภิกษุเป็นผู้นำศาสนาเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์
บัดนี้ กาลเวลาได้ล่วงเลยกึ่งพุทธกาลมาแล้ว พุทธบริษัท 4 เสาหลักของพระพุทธศาสนาเริ่มจะวิปริตผิดเพี้ยนไปจากกรอบจากแนวทางพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้
ประเทศไทยเราในอดีต ในสมัยที่ปกครองโดยพระมหากษัตริย์ แม้จะต้องผจญกับศึกสงครามรอบด้าน แต่พระมหากษัตริย์ผู้ครองแผ่นดินก็ยึดมั่นในพระศาสนา ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันมา
ยิ่งเมื่อบ้านเมืองสงบว่างเว้นจากศึกสงคราม พระมหากษัตริย์ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเพื่อให้เป็นหลักยึดเหนี่ยวของราษฎร และทรงให้ความเคารพพระภิกษุสงฆ์ที่ห่มผ้าเหลืองอันเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา แม้ในยุคที่ผู้คนให้ความเคารพทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทำบุญให้ความสะดวกสบายจนพระสงฆ์ติดสุข หย่อนยานในธรรมวินัย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 น่าจะทรงเห็นว่าไม่อาจแก้ไขพระจำนวนมากเกือบทั้งประเทศได้ จึงทรงตั้งธรรมยุติกนิกาย ให้ปฏิบัติตามธรรมวินัย โดยเคร่งครัดเพื่อเป็นแบบอย่าง
จนถึงกึ่งพุทธกาล พระธรรมยุตที่เป็นพระป่า นำโดยหลวงปู่มั่น ได้ปฏิบัติเคร่งครัดตามธรรมวินัย เป็นแบบอย่างพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จนเรียกศรัทธาของชาวพุทธให้กลับมานับถือพระพุทธศาสนาที่แท้จริงต่อไป
ชาวพุทธไทยให้ความเคารพพระภิกษุสงฆ์ ยำเกรงพระสัทธรรม ทั้งเกรงกลัวทั้งละอายต่อบาป แม้คนที่ทำชั่วก็ยังยกเว้นไม่แตะต้องไม่ข้องแวะกับวัดวาอาราม ไม่กล้าเข้าไปล่วงเกินสมบัติสงฆ์ แต่วันนี้ชาวพุทธบางคนทั้งๆ ที่มีหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนาน่าจะช่วยปกป้องรักษาพระพุทธศาสนา กลับกระทำการทุจริตเสียเอง โดยความร่วมมือของพระบางรูป ร่วมกันทุจริตเงินงบประมาณแผ่นดินที่รัฐมีเจตจำนงมอบให้วัด เพื่อใช้บูรณะซ่อมแซมศาสนสถานให้ดำรงคงอยู่
เป็นการทุจริตทั้งเงินแผ่นดินที่เป็นของคนไทยทั้งชาติและเงินที่เป็นสมบัติสงฆ์
เป็นกรรมอันหนักยิ่ง แม้จะไม่ถึงขั้นอนันตริยกรรม ก็น่าจะใกล้เคียง
ข่าวเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทุจริตเงินทอนวัด สร้างความสลดหดหู่ให้กับชาวพุทธไทยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยนึกไม่ถึงว่าจะมีใครกล้าที่จะทุจริตคอร์รัปชั่นเงินที่เป็นของวัดที่มาจากเงินแผ่นดิน
การทุจริตนี้ เจ้าหน้าที่สำนักงาน พุทธฯ ไม่สามารถทำเองตามลำพังได้ ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากพระที่เป็นเจ้าอาวาสวัด จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่า เพราะเหตุใดในภาคแรกของคดีทุจริตเงินทอนวัด พระผู้ใหญ่บางรูปจึงออกมาปกป้องพระ อ้างว่าเป็นความผิดของฆราวาสไม่เกี่ยวกับพระ และว่ากันว่า ด้วยกำลังภายในของพระสายปกครอง จึงเป็นเหตุให้มีการย้ายผู้อำนวยการสำนักงานพุทธฯ ที่ขุดคุ้ยเรื่องนี้ ให้พ้นจากหน้าที่ได้สำเร็จ เท็จจริงประการใด เนติบริกรท่านคงให้คำตอบได้
ในภาคสองของคดีนี้ ผู้อำนวยการสำนักงานพุทธฯ กลับมาอีกครั้ง ได้รับแรงเชียร์จากแฟนคลับและคงได้แรงหนุนจากลุงตู่ที่พลิกตัวทัน กลับมาเดินทางสายธรรม ฉะนั้นการดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องในการทุจริตครั้งนี้ สำนัก งานพุทธฯ ต้องไม่เกรงอกเกรงใจใคร ไม่ต้องหวาดกลัวอำนาจใดๆ ทั้งจากฆราวาสและจากพระสายปกครอง ขอให้ทำอย่างจริงจังตรงไปตรงมา อย่าให้ภาพความเป็นตำรวจและดีเอสไอทำลายความน่าเชื่อถือ
สำนักงานพุทธฯ มีหน้าที่ดูแลปกป้องพระพุทธศาสนาในฐานะเป็นหนึ่งในเสาหลักของพระพุทธศาสนาคือเป็นอุบาสกอุบาสิกา มีหน้าที่ดูแลประสานงานกับมหาเถรสมาคม (มส.) ในทางที่ถูกที่ควร แต่มิใช่จะยอมให้พระทำอะไรนอกลู่นอกทางได้ ฆราวาสโดยเฉพาะผู้มีหน้าที่ตามกฎหมาย ควรเป็นบุคคลที่รู้ธรรมวินัย เป็นพุทธศาสนิกชนที่มีเคารพยำเกรงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง
พระภิกษุจำนวนไม่น้อยทุกวันนี้ ติดในลาภสักการะสะสมทรัพย์สินเงินทอง สะสมรถยนต์หรู สวนทางกับคำสอนของพระพุทธศาสนาที่สอนให้พระภิกษุเป็น ผู้เสียสละ ไม่สะสม เหมือนคำสอนของสมเด็จพระสังฆราชที่ทรงสอนไว้ว่า การสะสมของทุกอย่าง ไม่ว่าจะสะสมอะไร ล้วนเป็นทุกข์ทั้งสิน มีความดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่สะสมแล้วไม่เป็นทุกข์
พระที่ทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะที่เป็นการทำผิดวินัยด้วย สำนักงาน พุทธฯ มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องดำเนินการกับพระเหล่านั้น ไม่ว่าจะมีสมณศักดิ์ใหญ่โตเพียงใด เพราะสมณศักดิ์เป็นเพียงหัวโขน ที่ครูอาจารย์ท่านเปรียบเป็นเพียงดินเหนียวบนหัวไก่ ไม่ใช่หงอนที่เป็นเนื้อหนังเป็นร่างกายที่แท้จริง
การจัดการดำเนินคดีกับพระที่ทำผิดกฎหมาย ไม่ใช่การทำลายพระพุทธศาสนา ในทางตรงกันข้าม เป็นการชำระล้างสิ่งสกปรกให้พ้นไปจากพระพุทธศาสนา การที่พระฝ่ายปกครองบางรูปที่ออกมาปกป้องพระด้วยกัน ไล่ให้สำนักงานพุทธฯ ไปกวาดบ้านตัวเองนั้น เป็นการกระทำที่น่าละอาย
พระที่ดี พระที่บริสุทธิ์ ท่านเป็นเสมือนทองแท้ที่ไม่กลัวไฟ ทนต่อการพิสูจน์ ยามใดที่ศาสนจักรเกิดปัญหา ฝ่ายอาณาจักรมีหน้าที่ต้องเข้ามาช่วยเหลือ ในฐานะที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องพระพุทธศาสนา เป็นเสาค้ำเสาหนึ่งของศาสนา
ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช คนนอกศาสนาเห็นว่า พระภิกษุได้รับการดูแลอย่างดี จึงได้ปลอมบวชเข้ามา เป็นพระจนพระแท้พระดีต้องหนีเข้าป่า ไม่อาจอยู่ร่วมทำสังฆกรรมด้วยกันได้ ร้อนถึงพระเจ้าอโศกมหาราชต้องเข้ามาใช้อำนาจ ร่วมมือกับพระดีๆ จับพระสึกถึงกว่าหกหมื่นรูป
คงถึงเวลาที่จะต้องชำระสะสางสังคายนา พ.ร.บ.สงฆ์ ให้เป็นกฎหมายที่ตอบสนองปกป้องคุ้มครองพระพุทธศานาให้ดำรงคงอยู่ต่อไป อย่าให้ สูญสิ้นไปจากแผ่นดินไทย n


