พระราชดำรัส 'ในหลวง ร.9' แสงสว่างนำทางชีวิต
ระหว่างต่อแถวเข้ากราบพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
โดย ณศักต์ อัจจิมาธร
ระหว่างต่อแถวเข้ากราบพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันสุดท้าย ชายวัย 69 ปี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามว่า "ความทรงจำเกี่ยวกับในหลวง รัชกาลที่ 9ของเขาคืออะไร" ว่า "ในหลวง รัชกาลที่ 9 คือผู้ที่ทำให้ผมเข้าใจชีวิต"
เขาบอกว่า ในหลวง รัชกาลที่ 9 เปรียบเสมือนพ่อที่คอยสั่งสอนการใช้ชีวิตในทุกด้าน เพราะตลอดชีวิตก็นำหลักคำสอนพระองค์มาปรับใช้
"ผมไม่เคยมีปัญหาหรืออุปสรรคเลยในชีวิต เพราะนำหลักคำสอนของพระองค์มาปฏิบัติ" ชายวัย 69 กล่าว
เขาเล่าต่อด้วยเสียงที่อิ่มเอมว่า "อย่าง คำสอนของในหลวงที่สอนให้ทุกคนนึกถึงส่วนรวม เช่น วันนี้ที่ได้มากราบพระบรมศพ ผมจะมีพัด ขนาดใหญ่เพื่อพัดให้ผู้คนที่เดินสัญจรผ่าน สิ่งที่ ได้กลับมาไม่ใช่เงิน แต่มีค่ามากกว่า นั่นก็คือรอยยิ้มและคำขอบคุณ เพราะพระองค์ทรงสอนเสมอว่า หากทำเช่นนี้หมายความว่า ขาดทุนคือ กำไร คือเมื่อทำประโยชน์ให้ผู้อื่น แต่สิ่งที่จะได้ ตอบกลับมานั้นมีค่ามหาศาลมาก"
"เพราะความสุขในชีวิตของคนเรานั้นไม่ได้ มาจากมูลค่าทรัพย์สิน แต่มาจากความรู้สึกอิ่มอก อิ่มใจและสบายใจ แต่สาเหตุที่ทำให้คนปัจจุบันเป็นทุกข์มากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่กำลังเป็นทาสของเงิน หามาได้เท่าไรก็นำไปซื้อของใช้ปรนเปรอความรู้สึกภายนอก ซึ่งอาจไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง แต่การให้แบบไม่หวังสิ่งตอบแทนเป็นความสุขที่ไม่ต้องซื้อและมีคุณค่ามากกว่า"
1 ปีที่ผ่านมา หลังจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2559 ผมคิดว่าคนไทยได้มีโอกาสครั้งสำคัญในการเรียนรู้พระราชดำรัสของพระองค์
ด้วยเพราะหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างมีการรวบรวมและอัญเชิญพระราชดำรัสมาถ่ายทอดในรูปแบบต่างๆ ทั้งตัวอักษร ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นออฟไลน์หรือออนไลน์
พระราชดำรัสในโอกาสต่างๆ ที่มีการ คัดเลือกมานำเสนอนั้น แสดงให้เห็นถึงพระมหา กรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ พระองค์ทรงสอนคนไทยตั้งแต่เรื่องใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิต หลักการคิด การครองตัว ครองจิตใจ การทำหน้าที่การงาน ไปจนถึงวิธีการนำพาชาติไปสู่ความเจริญอย่าง ยั่งยืน
หลายพระราชดำรัสเป็นพระราชดำรัสที่หลายคนอาจยังไม่เคยได้ทราบ เนื่องจากเป็นพระราชดำรัสที่พระราชทานต่อคณะบุคคลกลุ่มเล็กๆ แต่วันนี้ก็มีการอัญเชิญมาเผยแพร่ให้คนไทยได้เรียนรู้
ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเจอปัญหาด้านใดในชีวิต ผมพบว่า พระราชดำรัสของพระองค์เป็นหลักคิดให้สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างราบรื่น
วันหนึ่งผมเหน็ดเหนื่อยเรื่องงานจนใจคิดท้อแท้ ผมได้มีโอกาสอ่านพระราชดำรัสเรื่องการงาน ที่แสดงผ่านจอโทรทัศน์ในลิฟต์ของอาคารแห่งหนึ่ง และนับแต่วันนั้นผมไม่เคยคิดท้อแท้อีกเลย พระราชดำรัสที่ปรากฏนั้นมีความว่า
"ในการดำเนินชีวิตและการประกอบกิจการงาน ย่อมจะต้องมีปัญหาต่างๆ เป็นอุปสรรค ขัดขวาง ความสำเร็จอยู่เสมอ ยากที่ผู้ใดหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะหลีกเลี่ยงพ้นได้ คนก็มีปัญหาของคน สังคมก็มีปัญหาของสังคม ประเทศก็มีปัญหาของประเทศ แม้กระทั่งโลกก็มีปัญหาของโลกปัญหา ที่เกิดขึ้นในชีวิตและกิจการงานจึงเป็นเรื่องธรรมดา ข้อสำคัญเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น จะต้องแก้ไขให้ลุล่วงไปโดยไม่ชักช้า ผู้ใดมีสติปัญญา คิดได้ดี ปฏิบัติได้ถูก ผู้นั้นก็มีหวังบรรลุถึงเป้าหมาย มีความสำเร็จสูง ถ้าเป็นตรงกันข้าม ก็ยากที่จะ ประสบความสำเร็จสมหวังได้"
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ 31 ก.ค. 2539
แม้ในหลวง รัชกาลที่ 9 จะเสด็จสวรรคต แต่พระราชดำรัสของพระองค์ยังคงเป็นดั่ง แสงสว่างที่ส่องนำทางชีวิตให้กับปวงชนชาวไทย ไปตราบนิจนิรันดร์


