posttoday

ครูบ้านนอก

01 ตุลาคม 2560

ผ่านตาเฟซบุ๊กของอดีตผู้กำกับการแสดงระดับตำนานคนหนึ่งของเมืองไทย

โดย  พริบพันดาว

ผ่านตาเฟซบุ๊กของอดีตผู้กำกับการแสดงระดับตำนานคนหนึ่งของเมืองไทย สุรสีห์ ผาธรรม ซึ่งโพสต์เรื่องราวข่าวคราวในการเดินทางพบปะผู้คนและเตรียมตัวทำภาพยนตร์เรื่องใหม่ของตัวเอง โดยตั้งชื่อภาพยนตร์ที่ยังไม่ได้ลงมือถ่ายทำว่า "รังสิมันต์ หมอลำเนเวอร์ ดาย"

ครูบ้านนอก

ทำให้อดย้อนหวนคิดไปถึงภาพยนตร์อมตะนิรันดร์กาล และเป็นหมุดหมายหนึ่งของวงการภาพยนตร์ไทยในปี 2521 ไม่ได้ นั่นคือภาพยนตร์เรื่อง "ครูบ้านนอก"

น่าตกใจอยู่เหมือนกันที่เรื่องนี้เป็นการกำกับการแสดงเรื่องแรกของ สุรสีห์ ผาธรรม และประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งคำชมจากคนดูและนักวิจารณ์รวมถึงรายได้ที่ลงโรงศาลาเฉลิมไทยถึง 9 ล้านบาท

ถ้าเทียบกับเวลานี้คำนวณคร่าวๆ กับอัตราเงินเฟ้อผ่านไป 39 ปี ก็น่าจะเทียบค่าเงินปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 90 ล้านบาท

ครูบ้านนอก

นอกจากนี้ยังโกอินเตอร์ ไปคว้ารางวัลผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและภาพยนตร์สร้างสรรค์เยาวชนดีเด่น ในงานมหกรรมภาพยนตร์ที่นครทัชเคนท์ สหภาพโซเวียต หรือรัสเซียเดิม

ภาพยนตร์ "ครูบ้านนอก" สร้างจากบทประพันธ์ของ คำหมาน คนไค หรือมีชื่อจริงว่า สมพงษ์ พละสูรย์ เป็นวรรณกรรมแนวสัจนิยมในยุคแสวงหาของคนหนุ่มสาว โดยผลงานเขียนสร้างชื่อเสียงอื่นๆ ก็มี เช่น "บันทึกครูประชาบาล" "จดหมายจากครูบ้านนอก" "บักสีเด๋อ" เป็นต้น

ความแปลกใหม่ที่ไม่ค่อยมีในวงการภาพยนตร์ไทยที่เน้นนำในการทำภาพยนตร์สนองความบันเทิงเป็นหลัก เมื่อมีภาพยนตร์ในสกุล "สัจนิยมใหม่" (Neo-realism) ซึ่งมุ่งเน้นนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับคนยากจนหรือชนชั้นแรงงาน ที่ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากในทางเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กับปัญหาท้าทายทางจริยธรรม ทำให้มีรสชาติของการชมภาพยนตร์ที่แตกต่างออกไปและได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น

ครูบ้านนอก

หากสกุลภาพยนตร์สัจนิยม (Realism) ถ่ายทำแบบปรุงแต่งโดยน้อยที่สุด แต่ภาพยนตร์สัจนิยมใหม่มีการเพิ่มเติมประเด็นทางสังคม โดยเน้นไปที่เหล่าชนชั้นล่าง เพื่อสะท้อนสภาพสังคมในช่วงเวลานั้น

"ครูบ้านนอก" นำเสนอเรื่องราวของชีวิตประจำวันของประชาชนในชนบทภาคอีสานในหมู่บ้านทุรกันดารที่อดอยากปากแห้ง ถูกกดขี่ ได้รับความอยุติธรรม และตรอมตรมสิ้นหวัง ผ่านการแสดงที่ไม่ใช่ดารามืออาชีพ รวมถึงถ่ายทำในสถานที่จริง รวมทั้งสะท้อนให้เห็นอุดมการณ์อันแรงกล้าที่จะต่อสู้ต่อความอยุติธรรม จิตวิญญาณที่มีความเสียสละ กล้าหาญที่จะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงโดยไม่เกรงกลัวต่อความชั่วร้ายใดๆ และจบลงด้วยโศกนาฏกรรม

ในปี 2521 ภาพยนตร์ "ครูบ้านนอก" สามารถตอบโจทย์แทนใจของคนไทยได้ ทำให้ได้รับการพูดถึงและตอบรับจากคนดูทั่วประเทศ ถ้าจำกันได้ถึงความตื่นตัวเห่อกันไปดูหนังเรื่องนี้ โดยครูนำนักเรียนไปเหมาโรงดูกันทั้งโรงเรียน โดยเฉพาะในต่างจังหวัด

ครูบ้านนอก

ที่น่าสนใจอีกอย่างของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ ดารานำแสดงที่เล่นเป็นคู่พระนาง ปิยะ ตระกูลราษฎร์ กับ วาสนา สิทธิเวช ล้วนเป็นนักแสดงหน้าใหม่ไร้ชื่อเสียงมาก่อน ซึ่งถือว่าแหวกขนบการทำหนังไทยไปสุดกู่ ซึ่งช่วงนั้นนิยมคู่พระเอกนางเอกที่ติดตลาดและเป็นแม่เหล็กเรียกคนดูอยู่แล้ว

ความสำเร็จอย่างท่วมท้น ทำให้ ปิยะ-วาสนา กลายเป็นพระเอกนางเอกคู่ขวัญของวงการภาพยนตร์ไทยที่อยู่ในความทรงจำไปอีกคู่หนึ่ง โดยเฉพาะ ปิยะ ที่ทำให้คำนิยามว่า พระเอกภาพยนตร์ไทยต้องหล่อ เฟี้ยว ถูกลดทอนความสำคัญลงไป ภาพลักษณ์ของพระเอกมีความหลากหลายมากขึ้น เปิดประตูให้นักแสดงหน้าใหม่เข้าสู่วงการได้กว้างขึ้นจากอดีต

ครูบ้านนอก

นักแสดงอีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้และสามารถแย่งซีนพระเอกนางเอกไปมิใช่น้อยคือ นพดล ดวงพร ซึ่งรับบทครูใหญ่อย่างสมบทบาทและแสดงได้ธรรมดาสามัญจนนึกว่าเป็นเรื่องจริงของปุถุชนทั่วไป ตีบทแตกอย่างกระจายและอยู่ในความทรงจำที่ฝังแน่นของผู้ชมมาจนถึงปัจจุบัน

แต่ก็มีจุดที่น่าสังเกตถึงความคิดที่ไม่ก้าวหน้าของระบบราชการไทย แม้ภาพยนตร์ "ครูบ้านนอก" จะได้รับความชื่นชมในด้านการวิจารณ์และรายได้ ในขณะที่กระทรวงศึกษาธิการและบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายคนได้คัดค้านการนำภาพยนตร์เรื่องนี้ไปฉายยังต่างประเทศ ด้วยกลัวว่าจะเสียภาพพจน์อันดีงามของประเทศ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงวิถีการดำเนินชีวิตความเป็นอยู่แบบเก่าของชาวชนบทอีสาน ไม่มีไฟฟ้า น้ำประปาใช้ อีกทั้งการรักษาพยาบาลยังต้องอาศัยหมอไสยศาสตร์

ผ่านไปเกือบ 40 ปี มุมมองเหล่านี้ของระบบราชการไทยที่มีต่อภาพยนตร์ไทยในปัจจุบันก็ไม่ได้แตกต่างจากกรณีภาพยนตร์ "ครูบ้านนอก" ซึ่งเห็นได้จากภาพยนตร์หลายๆ เรื่องในยุคหลังถึงขั้นถูกแบนห้ามฉาย เนื่องจากจะทำให้เสียภาพพจน์ของประเทศไทย

ข่าวล่าสุด

กกต. เห็นชอบร่างแผนเลือกตั้ง – กำหนดวันใช้สิทธิ์ 8 ก.พ. 69