posttoday

ประเด็นชวนคิด 6 Mega Trends กับเศรษฐกิจไทย

20 กันยายน 2560

จิรัฐ เจนพึ่งพร & พัชรพร ลีพิพัฒน์ไพบูลย์ & รุจา อดิศรกาญจน์ธนาคารแห่งประเทศไทยบทความนี้พยายามเสนอประเด็นชวนคิดเกี่ยวกับ Mega Trends ที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางการผลิตของธุรกิจ การทำงานของแรงงาน การซื้อของของผู้บริโภค รวมถึงบทบาทภาครัฐ โดยรวมแล้วมี 6 Mega Trends ที่ไทยควรให้ความสำคัญ และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย แบ่งเป็น 3 Trends ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในไทย ได้แก่ สังคมผู้สูงอายุ ความเป็นเมือง ความเป็นปัจเจกบุคคล และอีก 3 Trends ที่มีผลจากการเปลี่ยนแปลงนอกประเทศ ได้แก่ เทคโนโลยีนวัตกรรม การเปลี่ยนขั้วทางเศรษฐกิจและการเมือง และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ

จิรัฐ เจนพึ่งพร & พัชรพร ลีพิพัฒน์ไพบูลย์ & รุจา อดิศรกาญจน์ธนาคารแห่งประเทศไทย

บทความนี้พยายามเสนอประเด็นชวนคิดเกี่ยวกับ Mega Trends ที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางการผลิตของธุรกิจ การทำงานของแรงงาน การซื้อของของผู้บริโภค รวมถึงบทบาทภาครัฐ โดยรวมแล้วมี 6 Mega Trends ที่ไทยควรให้ความสำคัญ และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย แบ่งเป็น 3 Trends ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในไทย ได้แก่ สังคมผู้สูงอายุ ความเป็นเมือง ความเป็นปัจเจกบุคคล และอีก 3 Trends ที่มีผลจากการเปลี่ยนแปลงนอกประเทศ ได้แก่ เทคโนโลยีนวัตกรรม การเปลี่ยนขั้วทางเศรษฐกิจและการเมือง และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ

โดยไทยต้องรีบเตรียมการรับมือ ได้แก่ สังคมผู้สูงอายุและเทคโนโลยีนวัตกรรม เพราะเป็น Mega Trends ที่โยงถึงจุดอ่อนของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย โดยไทยจะแก่ก่อนรวยและการปรับตัวอาจไม่ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว

1.สังคมผู้สูงอายุ ประชากรโลกจะกลายเป็นสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ในอีก 35 ปี ข้างหน้า แต่ไทยกำลังเป็น Aged Society ในอีกเพียง 5 ปี แปลว่าไทยแก่เร็วกว่าเพื่อน โดยเฉพาะเพื่อนที่มีรายได้ใกล้เคียงกับไทย เช่น เวียดนามและมาเลเซีย แต่หากเทียบกับประเทศที่แก่กว่าไทยอย่างสิงคโปร์หรือญี่ปุ่น ทั้งสองประเทศก็มีรายได้สูงหรือรวยกว่าเราไปมากแล้ว (รูปที่ 2)

ดังนั้น หากไทยไม่สามารถยกระดับรายได้ในอนาคต ไทยจะ "แก่ก่อนรวย" ประเด็นนี้จึงเป็น 1 ใน 2 Mega Trends ที่ไทยต้องรีบเตรียมการรับมือพิจารณาภาพย่อยว่า ใครควรตระหนักถึงผลจาก Trend นี้บ้าง กลุ่มแรก คือหนุ่มสาววัยทำงาน คนวัยทำงาน 1 คน จะมีความรับผิดชอบต่อผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น วันนี้ดูแลผู้สูงอายุเพียง 0.2 คน อีก 20 ปี ต้องดูแลถึง 0.5 คน

กลุ่มที่สอง คือ ผู้สูงอายุอาจมีสินทรัพย์ไม่เพียงพอต่อการดูแลชีวิตในยามแก่ กลุ่มที่สาม คือ ภาครัฐ ในอีก 20 ปี ภาครัฐจะมีค่าใช้จ่ายสวัสดิการรวมทุกด้านเพิ่มขึ้น 3 เท่า กลุ่มที่สี่ คือ ธุรกิจ ความต้องการของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไป สินค้าบริการสำหรับผู้สูงอายุจะมีความต้องการมากขึ้น

ดังนั้น ประเด็นชวนคิด คือ ไทยจะเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับสังคมสูงวัยอย่างไร ทั้งในด้าน (1) กำลังแรงงานในอนาคต (2) ความมั่นคงด้านรายได้ของคนทุกช่วงอายุ (3) สิ่งอำนวยสะดวกในการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ (4) การประสานนโยบายทุกด้าน และ (5) แนวโน้มในการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบโจทย์สังคมที่เปลี่ยนไป

2.ความเป็นเมือง Trend นี้จะเกิดขึ้นมีสูงและจะมีผลต่อเศรษฐกิจโลกสูง สูงกว่า Trend อื่นๆ เช่น การตระหนักถึงพลังงานในอนาคต (Future of energy) และการตระหนักถึงสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี (Health, Wellness and Well-being) เป็นต้น ซึ่งความเป็นเมือง (Urbanization rate) ของไทยอยู่ที่ 50% อันดับความเป็นเมืองอยู่ที่อันดับ 124 ของโลก สะท้อนว่าความเป็นเมืองของไทยยังไม่สูง เป็นระดับที่ยังต้องพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ต้องใช้เงินลงทุนสูงควบคู่ไปกับการคำนึงถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม (รูปที่ 3)

ดังนั้น ประเด็นชวนคิด คือ ความสัมพันธ์ของความเป็นเมืองกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างไร รัฐควรมีบทบาทในการพัฒนาความเป็นเมืองเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการกระจายเท่าเทียมหรือไม่ และถ้าควร ความเป็นเมืองของไทยควรพัฒนาไปในทิศทางใด

3.ความเป็นปัจเจกบุคคล พฤติกรรมของคนในแต่ละยุคส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่ต่างกัน โดยตัวกำหนดพฤติกรรมคือสภาพแวดล้อมที่คนแต่ละยุคเผชิญ เช่น ยุค Baby Boom คือคนที่มีอายุ 56 ปีขึ้นไป เกิดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกลับจากสงครามคนกลุ่มนี้กลับมามีครอบครัวและเผชิญกับการแข่งขันสูง จึงทำงานหนักเพราะต้องการความมั่นคงในชีวิตยุค Gen X คือคนที่อายุ 36-55 ปี ต้องการความสมดุลในชีวิตระหว่างการทำงานกับการพักผ่อน ซึ่งขณะนี้เป็นกำลังแรงงานหลักในปัจจุบัน ส่วนยุค Gen Y อายุ 20-35 ปี กลุ่มนี้ได้ชื่อว่าเป็น ปีเตอร์ แพน เพราะมีความเป็นเด็กตลอดเวลา อยากได้อะไรต้องได้ เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ปลายนิ้ว และอีกเกือบ 10 ปีข้างหน้า คนกลุ่มนี้จะมีถึงครึ่งหนึ่งของกำลังแรงงานในอนาคต

ดังนั้น ประเด็นชวนคิด คือ อีก 10 ปีต่อไป Gen Y จะมีบทบาทมากขึ้น ทั้งด้านกำลังแรงงานและการบริโภค ธุรกิจจะปรับตัวอย่างไรต่อรูปแบบการทำงานของแรงงานและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนไป

4.เทคโนโลยีนวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย อาทิ Internet of Things, Robots, Artificial Intelligence (AI), Drones, Blockchain, Virtual Reality, 3D Printing และ Electric Vehicle ซึ่งเข้ามามีบทบาทในโลกมากขึ้น น่าสนใจว่าไทยพร้อมรับกับเทคโนโลยีเหล่านี้มากน้อยเพียงใด หากมองด้านความสามารถในการผลิตสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี พบว่าประเด็นนี้สะท้อนจุดอ่อนของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย และพบ 2 ประเด็นชวนคิด

(1) ไทยขาดบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ที่สามารถผลิตสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเป็นความเห็นของผู้ประกอบการ และยังเห็นได้จากข้อมูลทางสถิติที่พบว่า สัดส่วนผู้จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ของไทยอยู่ที่ 22% ของบัณฑิตที่จบการศึกษาทั้งหมด น้อยกว่ามาเลเซีย เกาหลีใต้ และ อินโดนีเซีย ที่อยู่ที่ 33% 32% และ 24% ตามลำดับ อีกทั้งไทยยังผลิตบัณฑิตที่จบคณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์เท่ากับเมื่อ 10 ปีก่อน สะท้อนว่าการศึกษาไทยปรับไม่ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป

(2) เทคโนโลยีเหมือนกระจกสองด้าน ด้านหนึ่งคือมีประโยชน์ เทคโนโลยีทำให้มนุษย์สะดวกและจัดการสิ่งต่างๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ธุรกิจสามารถใช้ระบบ Automation จัดการคลังสินค้าโดยแทบไม่ต้องใช้แรงงานเลย ผู้บริโภคสามารถควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านผ่านเพียงแค่มือถือเครื่องเดียว และแพทย์จะมี AI ช่วยในการวินิจฉัยโรคมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีก็อาจสร้างผลกระทบต่อมนุษย์ได้ หากมนุษย์ปรับตัวไม่ทันหรือใช้อย่างไม่เหมาะสม ประเด็นที่เริ่มเห็นชัด เช่น มีความกังวลว่าเทคโนโลยีอย่าง Automation จะมาทำงานแทนคน กรณีของไทย Automation อย่างการนำหุ่นยนต์มาใช้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ระบบดังกล่าวใช้เพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนแรงงานมา 5-10 ปีแล้ว

ดังนั้น มนุษย์กับเทคโนโลยีจะอยู่ร่วมกันอย่างไร ต้องปรับตัวมากแค่ไหน เพื่อจำกัดผลกระทบให้น้อยที่สุด

5.การเปลี่ยนขั้วทางเศรษฐกิจและการเมือง การเปลี่ยนขั้วทางเศรษฐกิจและการเมืองกำลังเกิดขึ้น จนมีประเด็น Geopolitics ที่มีผลต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง ในประเด็นด้านเศรษฐกิจ กลุ่มประเทศในเอเชียจะมีบทบาทต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น เห็นได้จากสัดส่วนจีดีพีของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อจีดีพีโลกในช่วงปี 2010-2022 จะอยู่ที่ 30% แซงหน้ากลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐ ที่อยู่ที่ 25% และ 24% ตามลำดับ

ขณะที่ประเด็นด้านการเมือง ก็มีการขยายอำนาจและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากขึ้น เช่น การทดลองอาวุธของเกาหลีเหนือ ประเด็นพิพาทในน่านน้ำทะเลจีนใต้ระหว่างจีนและประเทศในอาเซียน ทั้งฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน และไต้หวัน หรือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และการออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักรที่หักปากกาเซียนเกือบทุกสำนัก

ตัวอย่างที่ชัดเจนของการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองที่มีผลต่อเศรษฐกิจ เช่น เมื่อสิ้นปีที่แล้ว ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะเป็นตัวกำหนดว่าข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP (Trans-Pacific Partnership) จะเดินหน้าต่อไปมากน้อยเพียงใด

ดังนั้น ประเด็นชวนคิด คือ โลกเปลี่ยนไป ทุกฝ่ายจะทำเหมือนเดิมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางเศรษฐกิจหรือความมั่นคง และไทยเป็นประเทศเล็ก เราจะมีกลยุทธ์ในการปรับตัวให้เข้ากับขั้วทางเศรษฐกิจและทางการเมืองของโลกที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างไร

6.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเป็นประเด็นที่มีความสำคัญต่อประเทศกลุ่มอาเซียน รวมถึงไทย เพราะเมื่อจัดลำดับประเทศที่มีความเสี่ยงด้านสภาพอากาศแล้ว พบว่า 4 ประเทศอาเซียน ได้แก่ เมียนมา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย ติดอันดับ 10 ประเทศแรกที่มีความเสี่ยงสูงสุดในโลก สำหรับไทย ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ปริมาณน้ำฝนลดลงมาก ทำให้ภัยแล้งทวีความรุนแรงมากขึ้น

ดังนั้น ประเด็นชวนคิด คือ หากแนวโน้มยังเป็นแบบนี้ อาจทำให้ไทยขาดแคลนน้ำสำหรับการเพาะปลูก กระทบต่อรายได้เกษตรกร และจำนวนคนที่ได้รับผลกระทบจะมีมาก เพราะเกษตรกรของไทยมีสูงถึง 13 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 3 ของคนวัยทำงานทั้งหมด ขณะที่เกษตรกรครึ่งหนึ่งยังเป็นผู้สูงวัยและการศึกษาน้อย แต่จำเป็นจะต้องเผชิญกับการปรับตัวปรับอาชีพ ภาครัฐคงต้องมีส่วนอย่างมากในการผลักดันแนวทางการปรับตัวให้ถูกทางและทั่วถึง โดยเฉพาะการแทนที่พืชใช้น้ำมาก เช่น นาข้าว ด้วยพืชและพันธุ์ที่เหมาะสมกับดินมากขึ้น และใช้น้ำน้อยลง เป็นต้น

ทั้งนี้ ทุกฝ่ายทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐจึงไม่ควรมองข้าม Mega Trends ของโลกที่จะมีผลต่อไทยในอนาคต และควรร่วมมือกันคิดหาทางปรับตัวและลงมือทำ เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์หรือลดทอนผลกระทบที่จะเกิดจาก Mega Trends ที่กำลังเข้ามา โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมสำหรับสังคมผู้สูงอายุและเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ไทยควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เพราะเป็น Mega Trends ที่โยงถึงจุดอ่อนของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เราจึงมีเวลาเหลือไม่มากนัก สำหรับการเตรียมพร้อมรับมือ 2 ประเด็นนี้ n

ข่าวล่าสุด

4 หน่วยงานลุย "สะพานสมุย" พ่วงน้ำ-ไฟ-เน็ต แก้ปัญหาระยะยาว