posttoday

ปลุกพลัง ‘สตาร์ทอัพ’ เงิน...ไม่ใช่เรื่องใหญ่

30 สิงหาคม 2560

ชีวรัตน์ กิจนภาธนพงศ์ใครมีไอเดียดีๆ คิดว่าเจ๋งจริง แต่ขาด "เงินทุน" ไม่ใช่เรื่องใหญ่

ชีวรัตน์ กิจนภาธนพงศ์

ใครมีไอเดียดีๆ คิดว่าเจ๋งจริง แต่ขาด "เงินทุน" ไม่ใช่เรื่องใหญ่

ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานพร้อมให้การสนับสนุน "สตาร์ทอัพ" ถือว่าเป็นวาระแห่งชาติเลยทีเดียว

แล้ว "สตาร์ทอัพ" จะหาเงินทุนจากที่ไหนดีนั้น

แรกเริ่ม ใช้เงินทุนตัวเองหรือ ครอบครัว เป็นเงินทุนแหล่งแรกที่สามารถเริ่มได้เลยจากเงินเก็บของตัวเอง ซึ่งตัวเราเองก็ต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่จะทำ และกล้าที่จะเริ่มต้นด้วยเงินทุนของตัวเองก่อน

เงินไม่พอ ก็ต้องหาผู้ร่วมทุน จะรวมกับเงินทุนของเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจ หรือที่เรียกว่า Co-Founder คือคนใกล้ตัวเรานี่ละ หรือเพื่อนๆ คนที่เชื่อมั่นว่าเราจะเริ่มต้นธุรกิจ หรือจะหาเงินกู้จากสถาบันการเงินก็ได้

ถ้ายังมีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนเยอะ ก็ต้องมองหา Angel Investor คือนักลงทุนอิสระ ที่แสวงหาการร่วมลงทุนธุรกิจสตาร์ทอัพ ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว มีเงินทุนและมีความสนใจหรือมีความรู้ความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่จะร่วมลงทุน ซึ่งนอกจากจะให้เงินทุนแล้ว ยังสามารถให้คำแนะนำช่วยเหลือธุรกิจสตาร์ทอัพ หรือช่วยหาเครือข่ายธุรกิจ (Connection) ให้ในการทำธุรกิจได้ด้วย

อีกช่องทางหนึ่ง Crowdfunding หรือการระดมทุนจากสาธารณะ เป็นอีกวิธีการหนึ่งในการระดมทุน โดยผ่านแพลตฟอร์มที่เป็นเสมือนตัวกลางในการจับคู่ระหว่างผู้ที่ต้องการเงินทุน (ไปประกอบธุรกิจ) กับผู้ที่มีเงินทุน (กลุ่มคนจำนวนมาก)

รูปแบบนี้จะช่วยให้ธุรกิจเกิดใหม่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น ประกอบกับเป็นการช่วยให้ธุรกิจได้ทดสอบไอเดียว่าสินค้าหรือบริการที่นำเสนอ มีคนสนใจมากน้อยเพียงใด โดยดูได้จากความสำเร็จในการระดมทุน ในขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ลงทุนที่มีเงินทุนน้อย ได้ลงทุนในธุรกิจที่มีไอเดียดีๆ ได้ผ่านแพลตฟอร์มของ Crowdfunding

สำหรับคนที่อยากได้เงินลงทุนฟรี ง่ายๆ สามารถเข้าร่วมได้จากโครงการแข่งขันต่างๆ ที่มีหลายหน่วยงานจัดเวทีขึ้นมาให้สตาร์ทอัพประลองฝีมือ โชว์ ไอเดียกัน ใครที่เจ๋ง โดนใจกรรมการก็รับเงินทุนเป็นล้านสนับสนุนธุรกิจเริ่มต้นด้วย โดยบางรายอาจจะแลกกับเข้าร่วมถือหุ้น หรืออาจจะเป็นการให้ทุนสนับสนุนเปล่าโดย ไม่ต้องแลกหุ้นก็ได้

หรือจะเข้าร่วม Incubator/Accele rator เข้าใจง่ายๆ คือ หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่เป็นหน่วยบ่มเพาะสตาร์ทอัพ ที่จะเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจในด้านต่างๆ ทั้งด้าน การตลาด การเงิน กฎหมาย สถานที่ทำงาน (Coworking Space) ตลอดจนแหล่งเงินทุน รวมทั้งช่วยหาพันธมิตรและแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมในรอบต่อๆ ไป เพื่อช่วยเร่งให้ธุรกิจขยายการเติบโตออกไป

น่าเสียดาย จากการสำรวจยังพบจุดอ่อนของสตาร์ทอัพไทย 50% ของสตาร์ทอัพไม่เคยเข้าโครงการบ่มเพาะจากหน่วยงานใดเลย และ 80% ไม่เคยลงทุนหรือเป็นลูกจ้างสตาร์ทอัพมาก่อน

ที่น่าสนใจอีกรูปหนึ่งคือ Venture Capital (VC) กลุ่มนักลงทุนในรูปแบบองค์กรหรือนักลงทุนสถาบัน ที่นำเงินมาร่วมลงทุนกับธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยอาจจะเป็นการจัดตั้งกองทุนเพื่อรวบรวมเงินลงทุนจากนักลงทุนรายใหญ่เฉพาะกลุ่มที่มีความเข้าใจในธุรกิจสตาร์ทอัพและรับความเสี่ยงได้สูง ซึ่ง VC เหล่านี้จะมีทั้งที่มาจากต่างประเทศและในประเทศ เช่น 500 TukTuks, Cyber Agent Ventures, Golden Gate Ventures

นอกจากนี้ ยังมี VC อีกประเภทที่เป็นบริษัท Corporate ที่แบ่งเงินบางส่วนจากธุรกิจมาจัดตั้ง VC เพื่อหาธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีความสอดคล้องกับธุรกิจมาร่วมลงทุน กลุ่มนี้เรียกว่า Corporate Venture Capital (CVC) ซึ่งอาจจะไม่ได้เน้นผลตอบแทนเท่า VC ในแบบแรก แต่จะเน้นไปที่ธุรกิจที่ CVC สามารถให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนสตาร์ทอัพเพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งและสนับสนุนกันกับธุรกิจหลักได้มากกว่า

รู้ไหมว่าปัจจุบันไทยมีเวนเจอร์ แคปปิตอลที่พร้อมที่จะลงทุนในสตาร์ทอัพ มีวงเงินรวมกว่า 2.7 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่ในประเทศ คือ 1.กองทุนภาครัฐ วงเงิน 6,800 ล้านบาท และ 2.Corporate Venture Capital (CVC) ในประเทศไทย จำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท ที่เหลือเป็นเวนเจอร์แคปปิตอล (ที่มีการลงทุนในไทย) จำนวน 5,000 ล้านบาท และเวนเจอร์แคปปิตอลอื่นๆ ในประเทศที่เป็นอิสระอีก 700 ล้านบาท

รัฐบาลต้องตั้งเป้าหมายที่จะส่งเสริมสตาร์ทอัพจำนวน 1 หมื่นราย

โดยมีหน่วยงานภาครัฐและภาค เอกชนได้ตั้งกองทุนร่วมลงทุน VC อาทิ ธนาคารออมสิน กรุงไทย เอสเอ็มอีแบงก์ ตลาดหลักทรัพย์

ขณะที่ภาคเอกชนตั้งกองทุน CVC เช่น กลุ่มทรู ไทยพาณิชย์ กรุงศรีอยุธยา ภาคอสังหาฯ ประกันชีวิต บีทีเอส ล็อกซเล่ย์ เพื่อลงทุนกับผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพทั้งในและต่างประเทศ

ขณะนี้กองทุนของรัฐบาลและเอกชน ต้องการส่งเสริมการร่วมทุนกับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพรายเล็กที่ต้องการเงินทุน 10-20 ล้านบาท รายใหญ่ต้องการ 40-50 ล้านบาท เฉลี่ย 30 ล้านบาท/ราย ยอมรับว่าปัจจุบันผู้ประกอบการสตาร์ทอัพมีศักยภาพผ่านการคัดเลือกเพียง 10%

เมื่อเร็วๆ นี้มีการจัดอันดับ "กรุงเทพ มหานคร" ครองอันดับ 1 ของเมืองที่ดีที่สุดสำหรับชาวสตาร์ทอัพในเอเชีย และยังเป็นอันดับ 7 ของโลก แซงหน้าฮ่องกงและสิงคโปร์ ที่ถือว่าเป็นสถานที่อันดับต้นๆ ที่เหมาะสมกับการเริ่มต้นธุรกิจและมีความสามารถในการแข่งขันสูง

ปัจจุบันไทยมีสตาร์ทอัพที่อยู่ในช่วงพัฒนาแนวคิด (Idea Startup) กว่า 8,000 ราย เกิดสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพและเริ่มดำเนินธุรกิจจริงอีกกว่า 1,500 ราย

สอดคล้องกับตัวเลขของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระบุว่า การเติบโตของการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นสูงจากปีก่อนกว่า 150% มีตัวเลขการลงทุนเพิ่มจาก 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นมากถึง 35-40 ล้านดอลลาร์ เกิดความสนใจในธุรกิจสตาร์ทอัพกระจายไปในทุกภาคส่วน

โดยมีสตาร์ทอัพที่มานำเสนอไอเดีย (Pitching) ในเวทีต่างๆ มากมายรวมกว่า 4.2 หมื่นราย ถือเป็นการรวมกลุ่มสตาร์ทอัพจากทั้งในประเทศและจากต่างประเทศที่มาพบกัน ส่งผลให้เกิดการเจรจาธุรกิจประมาณ 6,000 ล้านบาท เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนและเกิดพันธมิตรทางธุรกิจ คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท

สำหรับกลุ่มของสตาร์ทอัพใหม่ที่ น่าจับตาได้ขยายจากเทคโนโลยีการเงิน (ฟินเทค) และอี-คอมเมิร์ซ ไปยังกลุ่มที่มีความหลากหลายมากขึ้น อาทิ กลุ่มเกษตร อาหาร และท่องเที่ยวบริการ

โอกาส "สตาร์ทอัพ" อยู่แค่เอื้อม เรื่อง "เงิน" ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขึ้นอยู่กับว่า "สตาร์ทอัพ" กล้าที่จะลุกขึ้นมาปั้นฝันให้กลายเป็นจริงหรือไม่เท่านั้นเอง

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ซันเดอร์แลนด์ พบ นิวคาสเซิ่ล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68