ขสมก.เร่งรัดหนี้รถร่วม800ล้าน ขู่ตัดสิทธิ์ประมูลเส้นทางเดินรถ
ขสมก.เร่งรีดหนี้รถร่วม 800 ล้าน พร้อมขู่ตัดสิทธิ์เข้าประมูลเส้นทางเดินรถ ชงขยายสัญญาซ่อมบำรุงรถเมล์สามปีรวด 4.72 พันล้าน จี้องค์กรแก้ทุจริตเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
ขสมก.เร่งรีดหนี้รถร่วม 800 ล้าน พร้อมขู่ตัดสิทธิ์เข้าประมูลเส้นทางเดินรถ ชงขยายสัญญาซ่อมบำรุงรถเมล์สามปีรวด 4.72 พันล้าน จี้องค์กรแก้ทุจริตเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
นายวีระพงศ์ วงศ์แหวน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) เปิดเผยว่า ได้เร่งรัดให้นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานบอร์ด ขสมก.ไปดำเนินการเร่งรัดหนี้สินที่รถร่วมบริการ ขสมก.ให้จ่ายหนี้สินที่ติดค้างอยู่กับองค์กรวงเงินราว 800 ล้านบาท โดยให้ตั้งทีมฝ่ายกฎหมายเพื่อเร่งรัดหนี้สินและดำเนินการทางกฎหมายหากไม่มีความคืบหน้า
อย่างไรก็ตามได้แสดงเจตจำนงค์ให้ขสมก.ดำเนินการตัดสิทธิ์บริษัทรถร่วมที่ต้องการเข้าประมูลเส้นทางปฏิรูปจำนวน 269 เส้นทางหากไม่จ่ายหนี้สินที่ติดค้างกับองค์กรเพราะถือว่าเป็นผู้ประกอบการที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอจะบริการประชาชน
นายวีระพงศ์กล่าวต่อว่า จากกรณีที่ภาครัฐยังไม่สามารถจัดหารถเมล์ใหม่เพื่อให้บริการประชาชนได้ตามแผนทำให้ขสมก.ต้องวางแผนซ่อมบำรุงรถเมล์เก่าเพื่อรองรับแผนปฏิรูปเส้นทางเดินรถ 269 เส้นทาง สร.ขสมก.จึงได้เสนอฝ่ายบริหารให้ต่อสัญญาเหมาซ่อมบำรุงรถโดยสารออกไปเป็นเวลา 3ปี วงเงิน 4,728 ล้านบาท เพื่อให้องค์กรสามารถวางแผนซ่อมบำรุงรถเมล์ในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีปริมาณรถเพียงพอให้บริการประชาชนโดยปกติ ขสมก.จะดำเนินการต่อสัญญาซ่อมบำรุงรายปี วงเงิน 1,576 ล้านบาทต่อปี โดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ราว 1,600 บาทต่อรถโดยสารหนึ่งคัน คิดเป็นวันละ 4,320,000 ล้านบาท จากจำนวนรถโดยสารที่มีทั้งหมด 2,700 คัน
ส่วนประเด็นที่รมช.คมนาคม นายพิชิต อัคราทิตย์ ได้กำชับให้ขสมก.ไปดำเนินการจัดการปัญหาคอร์รัปชั่นและรับผลประโยชน์โยมิชอบภายในองค์กรนั้น นายวีระพงศ์กล่าวว่าได้เสนอประธานบอร์ดให้เร่งแก้ไขเรื่องทุจริตภายในองค์กรโดยเฉพาะประเด็นด้านผลประโยชน์ทับซ้อนของระดับผู้บริหารทั้งในอดีตที่บางรายอาจเป็นเจ้าของเส้นทางรถร่วมฯขสมก.จนนำไปสู่พฤติกรรมสุ่มเสี่ยงดังกล่าว
ขณะที่ประเด็นด้านการนำพนักงานสองพันคนเข้าโครงการเกษียรก่อนกำหนด (Early Retire) เพื่อจ่ายเงินให้คนละ 1 ล้านบาทนั้น สร.ขสมก.ต้องการให้องค์กรตั้งคณะกรรมการกำหนดอัตราโครงสร้างผลตอบแทนอย่างเป็นระบบเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าจะมีการจ่ายให้ 1 ล้านบาทเท่ากันทุกคนหรือไม่ซึ่งถ้าเป็นไปตามนั้นพนักงานส่วนใหญ่ไม่ขัดข้องพร้อมดำเนินการโครงการดังกล่าว แต่ในทางกลับกันบริษัทรัฐวิสาหกิจมีกติกาต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นจำนวน 30 เท่าของเงินเดือนซึ่งจะทำให้พนักงานแต่ละคนได้รับเงินไม่เท่ากันจนบางคนมองว่าเงินค่าตอบแทนเพียง 500,000 บาทนั้นไม่เพียงพอต่อการดูแลครอบครัวหากไม่มีรายได้จากงานประจำอีกต่อไป