เสือหมอบคันแรก ที่จะอยู่คู่กับคุณไปอีกนาน
เรื่อง/ภาพ : Withaya Hengปัจจุบันจักรยานที่วางขายอยู่ในตลาดทั่วโลกล้วนแต่มีฐานการผลิตอยู่ในเอเชีย เป็นจีนประมาณ 90% ที่เหลือกระจายไปในไต้หวัน เวียดนาม อินโดนีเซีย ฯลฯ
เรื่อง/ภาพ : Withaya Heng
ปัจจุบันจักรยานที่วางขายอยู่ในตลาดทั่วโลกล้วนแต่มีฐานการผลิตอยู่ในเอเชีย เป็นจีนประมาณ 90% ที่เหลือกระจายไปในไต้หวัน เวียดนาม อินโดนีเซีย ฯลฯ
การย้ายฐานการผลิตจากประเทศเจ้าของแบรนด์ในยุโรปและอเมริกานั้นไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่ดำเนินมานานกว่าสิบปีแล้ว และเริ่มต้นขึ้นในยุคที่วัสดุคาร์บอนเพิ่งจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ช่วงระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาจึงเป็นการถ่ายเทเทคโนโลยีการผลิตวัสดุคาร์บอนมาไว้ที่ประเทศจีนเป็นหลัก จากการผลิตอย่างเดียว ค่อยๆ คืบคลานสู่การวิจัยและพัฒนา (R&D) มาจนปัจจุบันการออกแบบก็สามารถทำได้เบ็ดเสร็จในที่เดียวกัน
ช่วงสองปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศแถบยุโรปและอเมริกาล้วนอยู่ในทิศทางขาลง ตลาดจักรยานทั่วโลกหดตัวลงกว่า 15% จึงทำให้เกิดช่องว่างในสายการผลิตขึ้น ผู้นำเข้าจักรยานรายใหญ่เจ้าหนึ่งในประเทศไทยเห็นช่องทางดังกล่าว จึงได้ปรึกษาหารือร่วมกับโรงงานผู้ผลิตเฟรมคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ที่ประเทศจีน วางแผนการผลิตจักรยานคุณภาพสูงในราคาที่จับต้องได้ภายใต้แบรนด์ของตัวเอง
แบรนด์ Kaze นั้นทำตลาดมานานหลายปีแล้ว แต่จะเป็นจำพวกอุปกรณ์และอะไหล่จักรยาน เช่น แฮนด์ สเตม หลักอาน ไปจนถึงชุดถ้วยคอ ดุมล้อ เพิ่งจะเริ่มทำเฟรมจักรยานในแบรนด์ของตนเองเมื่อสัก 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเน้นที่ตลาดเริ่มต้นเป็นหลัก แต่มาถึงปีนี้ Kaze ได้รุกเข้าตลาดจักรยาน Performance โดยได้เปิดตัวเสือหมอบ Kaze Race Aero Series 3 รุ่น 3 แบบ ประกอบด้วย Kaze Race Kanon เป็นรถแบบ All Around Kaze Race Eos เป็น Road Racing เต็มตัว และ Kaze Race Ebon สายพันธุ์ Sprinter-Time Trial ทั้งหมดมาในรูปทรงลู่ลมแอโร่ไดนามิกตามสมัยนิยม แต่รุ่นที่เรานำมาทดสอบในครั้งนี้จะเป็นเฉพาะ Kaze Race Kanon
มูลเหตุที่ทำให้เกิดการทดสอบจักรยานคันนี้ขึ้นมา ก็เพราะคำถามที่เรายิงไปยังผู้นำเข้าว่า มีจักรยานรุ่นใดบ้างที่จะเหมาะสำหรับนักปั่นที่ขี่เสือภูเขามานาน และอยากเปลี่ยนมาขี่เสือหมอบดูบ้าง แน่นอนว่ามันจะต้องไม่ใช่เสือหมอบรุ่นเริ่มต้นแบบมือใหม่ที่ยังลังเลว่าจะปั่นจริงจังหรือไม่
ในความเป็นจริงคนทั่วไปโดยเฉพาะที่อยู่ในภูมิลำเนาต่างจังหวัด เวลาเลือกซื้อจักรยานคันแรกมักจะเลือกเป็นเสือภูเขา ด้วยการใช้งานที่อเนกประสงค์ของมัน ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่ไม่คิดจะเข้าป่ากันเลย ปั่นกันแต่บนถนนนี่แหละ แต่เมื่อปั่นไปได้สักระยะก็จะเห็นพ้องต้องกันว่า เสือภูเขาปั่นบนถนนมันเหนื่อยนะ มันไปได้ช้า กินแรง ฯลฯ ว่าแล้วก็ไปถอยเสือหมอบกันดีกว่า
จุดนี้แหละที่การทดสอบของเราต้องการตอบโจทย์นี้ เสือหมอบคันแรกสำหรับนักปั่นที่มีประสบการณ์ มีแรง รู้เทคนิค และในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้คงไม่มีใครอยากเปลี่ยนรถ อัพรถกันบ่อยๆ ก็อยากได้จักรยานที่จะอยู่คู่กันไปได้นานๆ ด้วย
Kaze Race Kanon เป็นเฟรมเสือหมอบทรงลู่ลมกึ่งแอโร่ ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ความหนาแน่นสูง Torayca T800 หางหลังออกแบบให้ค่อนข้างสั้น ดึงให้ล้อหลังชิดจนมุดท่อนั่งที่ต้องทำเป็นโค้งรับ ตัวเฟรมซ่อนสายเรียบร้อยสวยงาม มาพร้อมหลักอานแอโร่และตะเกียบทรง Blade ซึ่งเป็นคาร์บอนทั้งหมด
ตัวเฟรมมองผ่านแวบแรกว่าหน้าตาคุ้นๆ ก็ไม่ต้องแปลกใจอีกแล้ว เพราะปัจจุบันจะแบรนด์อิตาลีหรือแบรนด์ไทย R&D ก็พี่จีนทำให้หมด Kanon คันนี้ประกอบเป็นคันด้วยชุดขับ Shimano 105 ครบเซต แฮนด์-สเตม ของ Easton ชุดล้อคาร์บอนขอบสูง 50 มม. จาก Pearl ยาง Continental Gatorskin 700X2.3 จริงๆ ต้องถือว่าสเปกนี้หรูหราเกินตัวไปนิด
ทดลองขี่
ในเวลาร่วมเดือนที่เราได้ลองปั่นใน เส้นทางที่หลากหลาย ความรู้สึกแรกของเราเลยคือ ปั่นจักรยานที่ตรงกับวัตถุประสงค์ในการใช้ของมันจะได้ผลที่ดีที่สุด เสือภูเขาต้องคู่กับป่า ถนนก็ต้องคู่กับรถถนน ทั้งความเร็วและระยะทางที่เพิ่มขึ้นมา ในขณะที่ระยะเวลาและความเหนื่อยล้าที่ลดลง ต้องถือว่าผ่านด่านแรกอย่างฉลุย
Kaze Race Kanon ให้อัตราเร่งที่ดี ติดเท้าพอสมควร แต่ที่เด่นน่าจะเป็นเรื่องความนิ่งและการรักษาความเร็วที่ทำได้ดี ล้อขอบสูง 50 มม. แหวกอากาศได้ดีช่วยอย่างมากในการทำความเร็วปลายให้เพิ่มขึ้น แต่การใส่ทั้งหน้า-หลัง เวลาเจอลมสวนอาจจะให้รถเป๋ไปได้ ต้องทำความคุ้นเคยสักระยะ
ตัวเฟรม Stiff ดีมาก ไม่มีอาการย้วยใดๆ ให้รู้สึก ตะเกียบโซ่เป็นทรงกล่องขนาดใหญ่ มั่นคงแข็งแรง แต่ก็ค่อนข้างกระด้าง Kanon วางตำแหน่งไว้ให้เป็นรถแบบ All Around คือจะมาแนว Racing ก็ได้ หรือจะแนว Endurance ก็พอไหวอยู่ที่การเซตอัพรถ Stack จึงทำไว้ค่อนข้างต่ำแล้วใช้แหวนรองคอเอา ถ้าเอาแหวนรองออกทั้งหมดจะถือว่าหน้าต่ำ ปั่นก้มมากๆ
Kaze Race Kanon ราคาเฟรม-ตะเกียบ-หลักอาน อยู่ที่สองหมื่นกลางๆ ประกอบคู่ชุดขับ 105 กับชุดล้อแบบธรรมดาหน่อยน่าจะอยู่ที่สี่กลางๆ ถือว่าไม่ถูกไม่แพงสำหรับรถระดับนี้ แต่กับคุณภาพและประสิทธิภาพที่ได้รับถือว่ารองรับการใช้งานได้อีกยาวนาน
ตัวคนขี่เองต้องพัฒนาตัวไปอีกไกลถึงจะรู้สึกได้ว่าตนเองต้องการสิ่งที่ดีกว่านี้...


