อุทธรณ์-ฎีกา
สมผล ตระกูลรุ่ง เรายึดถือกันตลอดมาว่าศาลเป็นที่พึ่งสุดท้าย นั่นเพราะที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลให้ความเป็นธรรมได้มากกว่ากระบวนการยุติธรรมอื่นๆ หรือถ้าจะอธิบายแบบขำๆ ก็ต้องบอกว่า เพราะศาลเป็นกระบวนการปลายน้ำในระบบยุติธรรม จึงเป็นที่พึ่งสุดท้าย
สมผล ตระกูลรุ่ง
เรายึดถือกันตลอดมาว่าศาลเป็นที่พึ่งสุดท้าย นั่นเพราะที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลให้ความเป็นธรรมได้มากกว่ากระบวนการยุติธรรมอื่นๆ หรือถ้าจะอธิบายแบบขำๆ ก็ต้องบอกว่า เพราะศาลเป็นกระบวนการปลายน้ำในระบบยุติธรรม จึงเป็นที่พึ่งสุดท้าย
ในคดีอาญาทั่วไปกว่าจะมาถึงการพิจารณาของศาล ต้องผ่านการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ผ่านการพิจารณาของพนักงานอัยการ หากไม่สะดุดระหว่างทางเสียก่อนจึงจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล เส้นทางในคดีอาญากว่าจะถึงมือศาลต้องผ่านอุปสรรคมากมาย สำคัญที่สุดคือการได้ตัวผู้ต้องหามาฟ้องที่ศาล เราจึงเห็นคดีความต่างๆ หยุดอยู่แค่ชั้นสอบสวนหรือชั้นอัยการ ไม่ว่าจะเป็นทายาทเครื่องดื่มชูกำลังที่ติดปัญหาแปลเอกสาร หรือคดีดังอย่างธัมมชโย ที่แสดงปาฏิหาริย์หายตัวหลบหนีการจับกุมของ ดีเอสไอได้อย่างเหลือเชื่อ
พนักงานสอบสวนในปัจจุบันก็มีหลากหลายแล้วแต่ลักษณะคดี หลักๆ คือตำรวจ และที่เพิ่มมาใหม่คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ นอกจากนี้ หากเป็นคดีความผิดอันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ปัจจุบัน ป.ป.ช.ทำหน้าที่สอบสวน และในบางกรณีก็ทำหน้าที่ฟ้องคดีต่อศาลเองแทนอัยการ หากมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องสำนวนการสอบสวน
หลักการของการสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใด พนักงานสอบสวนมีหน้าที่แสวงหาพยานหลักฐานที่จะแสดงว่า ผู้ต้องหากระทำความผิด เมื่อใดที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว นั่นหมายความว่าพนักงานสอบสวนมีหลักฐานที่เชื่อได้ในเบื้องต้นว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำความผิด หน้าที่ของพนักงานสอบสวนคือการหาพยานหลักฐานมัดผู้ต้องหาให้ได้ว่าเป็นผู้กระทำความผิด เพื่อที่จะสรุปสำนวนส่งอัยการเพื่อส่งฟ้องต่อศาลต่อไป
ผู้แสวงหาความเป็นธรรมในบ้านเมืองเรา จึงต้องฝ่าด่านที่แข็งแกร่งอย่างน้อยสองด่าน คือ กระบวนการสอบสวน และการกลั่นกรองของอัยการ ซึ่งโดยปกติสองหน่วยงานนี้จะถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกัน เช่น อัยการอยากกินลาบแต่ไปไม่ถูก ก็จะขอให้ตำรวจช่วยพาไปส่ง เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
กระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาล เป็นการพิจารณาที่เปิดโอกาสให้คู่กรณีได้ต่อสู้คดีอย่างเปิดเผยเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบกล่าวหาหรือระบบไต่สวนก็ตาม นอกจากการพิจารณาโดยเปิดเผยแล้ว ก็ยังมีกระบวนการพิจารณากลั่นกรอง คำตัดสิน อันเนื่องมาจากคำตัดสินของศาลเป็นความเห็นที่พิเคราะห์จากพยานหลักฐานต่างๆ ที่ปรากฏในสำนวน ซึ่งอาจผิดพลาดได้ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม หรืออาจเกิดจากอคติ ในระบบการพิจารณาของศาลทั่วโลก จึงต้องมีการกลั่นกรองคำพิพากษา โดยให้ผู้ที่มีอาวุโส มีประสบการณ์ในการพิจารณาคดีมากกว่า เป็นผู้กลั่นกรองเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมให้มากที่สุด
ในอดีตที่ผ่านมา กฎหมายไทยเรามีกระบวนการกลั่นกรองคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอีก 2 ศาล คือ ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา โดยการอุทธรณ์และฎีกาเป็นสิทธิของคู่ความที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดจากคดีเล็กหรือคดีใหญ่ คดีแพ่งกำหนดจากทุนทรัพย์ ส่วนคดีอาญากำหนดจากโทษ หากอยู่ในเงื่อนไขที่กำหนดไว้คู่ความย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้
แต่ระบบนี้ในคดีแพ่งได้ถูกปรับเปลี่ยนเมื่อปี 2558 โดยเปลี่ยนการยื่นฎีกาจากสิทธิ เป็นการขออนุญาตฎีกา ไม่ว่าจะเป็นคดีเล็กหรือคดีใหญ่ก็ตาม ส่วนคดีอาญายังคงหลักการเดิม
การพิจารณาคดี 3 ศาลที่ผ่านมา ทำให้คดีล่าช้า บางคดีตั้งแต่เริ่มฟ้องคดีจนถึงศาลฎีกาพิพากษาเป็นเวลาถึง 10 ปี ถ้ายังจำกันได้คดีแพะเชอรี่แอนดันแคน จำเลยถูกขังคุกฟรีถึง 7 ปี กว่าศาลฎีกาจะพิพากษาว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด
ด้วยกระบวนการที่ยาวนาน จึงมีคำถามว่า มีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องพิจารณาคดีกันถึง 3 ศาล แต่เดิมนั้นศาลอุทธรณ์แทบจะไม่มีความหมายใดๆ เลย คดีที่มีสิทธิฎีกาคู่ความร้อยละ 99 จะยื่นฎีกาทั้งนั้น ในแง่มุมนี้ตัวผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์บางท่านก็อาจจะมีความรู้สึกว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แทบจะไม่มีความหมาย พิพากษาไปแล้ว คู่ความก็ยื่นฎีกาต่อไปอยู่ดี จึงเป็นเหตุผลที่จะให้คำพิพากษาคดีแพ่งสิ้นสุดที่ศาลอุทธรณ์
สำหรับคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่พิจารณาโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองนั้น เดิมในรัฐธรรมนูญปี 2540 คำพิพากษาของศาลถือเป็นที่สุด ไม่สามารถอุทธรณ์ได้ ตามมาตรา 311 วรรคสาม "คำสั่งและคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้เปิดเผยและเป็นที่สุด"
การห้ามอุทธรณ์ถูกโจมตีว่าไม่เป็นไปตามหลักสากล ฉะนั้น ในรัฐธรรมนูญปี 2550 จึงให้มีการอุทธรณ์ได้ แต่ให้เฉพาะจำเลยที่ถูกพิพากษาลงโทษ โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 278 วรรคสามว่า "ในกรณีที่ผู้ต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีพยานหลักฐานใหม่ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ อาจยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้"
สำหรับรัฐธรรมนูญปี 2560 ให้สิทธิคู่ความทั้งสองฝ่ายที่จะอุทธรณ์ได้ ตามมาตรา 195 วรรคสี่ "คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมี คำพิพากษา"
การกลั่นกรองคำพิพากษาโดยอุทธรณ์ฎีกานั้น โดยเนื้อหาแล้วคือการให้ผู้พิพากษาท่านอื่นที่อาวุโสกว่า ได้พิจารณาทบทวนอีกครั้ง ซึ่งโดยคดีปกติหากเป็นระบบเดิมที่ต่อสู้กัน 3 ศาล จะมีผู้พิพากษาที่พิจารณารวม 8 ท่าน แต่คดีอาญาของนักการเมือง รัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 กำหนดให้มีผู้พิพากษา 9 ท่าน รัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดให้มี 5-9 ท่าน ซึ่งเป็นผู้พิพากษาในศาลฎีกาที่มีประสบการณ์เก่งกาจทั้งนั้น และการอุทธรณ์ผู้ที่พิจารณาอุทธรณ์ก็เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาที่มีประสบการณ์พอๆ กัน
การพิพากษาคดีนักการเมือง ผู้พิพากษาต้องทำความเห็นส่วนตัว เป็นการลงมติโดยเสียงข้างมาก นักการเมืองจึงเป็นมนุษย์พันธ์ุพิเศษที่ต้องใช้ ผู้พิพากษามากกว่าคนทั่วไป และเป็น ผู้พิพากษาที่มีประสบการณ์ชั้นสูงสุด
ถ้าชุดแรกพิพากษาด้วยมติเอกฉันท์ ชุดพิจารณาอุทธรณ์จะหักล้างอย่างไร น่าคิดนะครับ n


