ธปท.เข้มสินเชื่อบุคคล ดันหนี้นอกระบบเบ่งบาน
การประกาศปรับปรุงเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ
โดย...พรสวรรค์ นันทะ
การประกาศปรับปรุงเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ที่เข้มข้นขึ้น และจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2560 เป็นต้นไป โดยภาครัฐมุ่งหวังจะช่วยสร้างวินัยทางการเงิน ให้คนไทยก่อหนี้ตามความสามารถในการชำระคืน เรียกง่ายๆ อีกอย่างว่า ก่อหนี้ให้เหมาะสมกับรายได้มากขึ้น โดยเฉพาะคนอายุยังน้อยและอยู่ในวัยเริ่มต้นทำงาน
การมีหนี้บุคคลสูงตั้งแต่อายุยังน้อย จะเกิดผลเสียต่อทั้งตัวเองและต่อประเทศชาติโดยรวม เนื่องจากหากเป็นหนี้เสียตั้งแต่เริ่มทำงาน ติดบัญชีดำของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ในอนาคตจะขอกู้ในระบบลำบาก ก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัวแล้วยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน รวมไปถึงมีผลต่อการขยายตัวของสินเชื่อในระบบ กำลังซื้อในประเทศ กระทั่งอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) บั่นทอนเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศในระยะยาวได้
แนวโน้มของปัญหาเหล่านี้ถูกตอกย้ำด้วยข้อมูลงานวิจัยของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วยอึ๊งภากรณ์ ที่ระบุว่า 1 ใน 3 หรือประมาณ 19 ล้านคนของประชากรไทย 69 ล้านคน เป็นหนี้ในระบบ ซึ่งสัดส่วนยอดหนี้เฉลี่ยต่อคนก็สูงขึ้น จาก 7 หมื่นบาทในปี 2553 เพิ่มเป็น 1.5 แสนบาท ในปี 2559 ที่สำคัญหนี้เหล่านี้ยังไม่รวมหนี้กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หนี้จากสหกรณ์ออมทรัพย์และหนี้นอกระบบ ภาวะเหล่านี้ทำให้เมื่อวัดสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีแล้วไทยจึงมีหนี้สูงติดอันดับ 3 ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เป็นรองแค่ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้เท่านั้น
ในงานวิจัยยังพบว่า คนเข้าถึงหนี้ตั้งแต่อายุน้อย โดย 50% ของคนในวัยที่เริ่มทำงานจะมีหนี้ แถมคนอายุน้อยยังมีแนวโน้มเป็นหนี้เสียสูง เพราะจากข้อมูลพบว่ากลุ่มคนในช่วงอายุประมาณ 29 ปี 1 ใน 5 จะเป็นเอ็นพีแอล ถือเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับต่างประเทศ โดยประเภทสินเชื่อที่คนเข้าถึงมากที่สุด คือ สินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต
สอดคล้องกับผลสำรวจศูนย์สำรวจของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) และเครดิตบูโรในเรื่อง “พฤติกรรมการออมและภาวะหนี้สินของประชาชนในช่วงครึ่งปีแรก 2560” ที่พบว่า คนส่วนใหญ่ 45.15% ระบุว่า มีรายได้พอๆ กับรายจ่าย โดยรายได้เฉลี่ยในแต่ละเดือนอยู่ที่ 2.65 หมื่นบาท/คน/เดือน มีรายจ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 2.16 หมื่นบาท/คน/เดือน เฉลี่ยแล้วจะเหลือเงินประมาณ 4,863 บาท ซึ่งไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเงินที่เหลือนี้จะถูกเก็บออมไว้เพื่อใช้จ่ายในยามเกษียณหรือไม่ ทั้งที่ไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในไม่กี่ปีข้างหน้าแล้ว
จากระดับการก่อหนี้ที่สูง แถมมีการเก็บออมน้อย ทำให้แบงก์ชาติออกเกณฑ์มาควบคุมการก่อหนี้ของคนรายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาท/เดือน เข้มงวดขึ้น โดยในส่วนของบัตรเครดิตแม้จะไม่จำกัดจำนวนบัตร แต่กำหนดเพดานวงเงินให้ไม่เกิน 1.5 เท่าของรายได้ รายได้มากกว่า 3 หมื่น แต่ไม่เกิน 5 หมื่นบาท ให้วงเงินได้ไม่เกิน 3 เท่า ส่วนรายได้ 5 หมื่นบาทขึ้นไปอยู่ในเพดานเดิมที่ 5 เท่า โดยให้คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 18% ลดลงจากเดิม 20% ซึ่งให้คิดดอกเบี้ยถูกตามต้นทุนของผู้ประกอบการที่ลดลง
ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลแบงก์ชาติ กำหนดให้คนมีรายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาท/เดือน กู้ได้ไม่เกิน 1.5 เท่าของรายได้ และห้ามกู้จากผู้ประกอบการเกิน 3 แห่ง ฉะนั้น เบ็ดเสร็จแล้วจะกู้ได้ไม่เกิน 4.5 เท่า จากเดิมที่เคยให้ได้ 5 เท่า ส่วนคนรายได้ 3 หมื่นบาทขึ้นไป กู้ได้ในวงเงินไม่เกิน 5 เท่าเช่นเดิม โดยให้คิดดอกเบี้ยไม่เกิน 28% เท่าเดิม
สาเหตุที่แบงก์ชาติขีดเส้นดูแลคนรายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาท/เดือน เพราะต้องการดูแลการก่อหนี้ของคนอายุไม่มากและเริ่มต้นทำงานเป็นสำคัญ โดยแบงก์ชาติใช้หลักการที่ว่า เริ่มต้นทำงานใหม่เงินเดือนน่าจะประมาณ 1.5-2 หมื่นบาท ทำงานไปสักระยะเงินเดือนขึ้นตามเงินเฟ้อเฉลี่ย 2-5% เงินเดือนก็น่าจะอยู่ประมาณ 3 หมื่นบาทได้ จึงมุ่งตัดวงเงินการใช้จ่ายผ่านหนี้ประเภทนี้ที่คนกลุ่มนี้เข้าถึงได้ง่าย โดยหวังว่าเมื่อตัดวงเงินให้ลดลงได้ก็น่าจะช่วยตัดกิเลสให้การเป็นหนี้ด้วยเหตุไม่จำเป็นลดลงบ้าง
อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไปหนี้ครัวเรือนจะลดลงได้มากน้อยแค่ไหนคงต้องติดตามดูกันต่อไป แต่คาดว่าคงจะลดลงได้ไม่มากนัก เนื่องจากปัจจุบันการปล่อยกู้ในระบบของธนาคารพาณิชย์และผู้ประกอบการที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นันแบงก์) ก็เข้มงวดอยู่แล้ว แม้ไม่มีเกณฑ์ใหม่ของแบงก์ก็ตาม ทำให้อัตราการเติบโตของสินเชื่อเหล่านี้ไม่ได้สูงเหมือนในอดีต
หากพิจารณาจากสัดส่วนของหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค จากข้อมูลเครดิตบูโรในไตรมาสแรกปีนี้ จะพบว่า ยอดสินเชื่อรวม 10.2 ล้านล้านบาทนั้น ส่วนใหญ่ 34% เป็นหนี้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย 20% เป็นหนี้รถยนต์ 17% เป็นหนี้อื่นๆ 6% เป็นหนี้เบิกเกินบัญชี(โอดี) ขณะที่หนี้ส่วนบุคคลอยู่ที่ 19% และหนี้บัตรเครดิตอยู่ที่ 4% เท่านั้น ดังนั้น แม้จะลดหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลลงก็คงลดหนี้ครัวเรือนได้ไม่มากนัก
แต่ประเด็นปัญหาที่น่าห่วงหลังการคุมเข้มสินเชื่อครั้งนี้ คือ เรื่องนี้จะกลายเป็นแรงกดดันทำให้คนที่มีรายได้น้อยที่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน แต่กู้เกินเกณฑ์ใหม่ไม่ได้ต้องหนีออกไปพึ่งพิงหนี้นอกระบบหรือไม่ ถ้าหากคนจำเป็นก็ต้องหาช่องกู้จนได้อยู่ดี และถ้าเป็นเช่นนั้นถึงหนี้ครัวเรือนซึ่งเป็นหนี้ในระบบจะลด แต่อาจโยกไปปูดที่หนี้นอกระบบอยู่ดี ความหวังที่รัฐบาลอยากล้างหนี้นอกระบบให้หมดไปจากประเทศคงยากขึ้นไปอีก เพราะหนี้นอกระบบคงไม่ได้มีแค่คนที่ขึ้นทะเบียน 1.3 ล้านคน มีมูลหนี้รวม 1.2 แสนล้านบาทเท่านั้น ว่ากันว่าหนี้นอกระบบน่าจะสูงในหลักหลายล้านล้านบาท
แม้ ฤชุกร สิริโยธิน รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. จะยืนยันว่า ไม่กังวลว่าจะทำให้คนหนีไปพึ่งหนี้นอกระบบ เพราะยังคงดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลเอาไว้ที่ 28% เท่าเดิมเพื่อเอื้อให้ผู้ประกอบการสามารถปล่อยกู้กับคนในวงกว้างที่มีความเสี่ยงสูงได้ เพราะหนี้ประเภทนี้ไม่ว่าคนเงินเดือน 7,000-8,000 ไปถึงหมื่นบาทก็เข้าถึงได้ เพราะถ้าปรับลดดอกเบี้ยลงจะทำให้ผู้ประกอบการไม่ปล่อยกู้ก็เป็นได้ เพราะดอกเบี้ยอาจไม่คุ้มความเสี่ยง
อย่างไรก็ดี ธปท.ได้เปิดช่องให้กู้ฉุกเฉินได้เกินเพดานที่กำหนดไว้ตามความจำเป็น เพียงแต่ต้องมีกำหนดเวลาคืนให้ชัดเจน ไม่ได้ปิดช่องการเข้าถึงสินเชื่อไปหมด
นอกจากนี้ รัฐบาลยังส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพ (นาโนไฟแนนซ์) และการเปิดให้ขอใบอนุญาตปล่อยเงินกู้นอกระบบ (พิโกไฟแนนซ์) เพื่อเป็นช่องทางให้คนเข้าถึงสินเชื่อได้ ทดแทนการพึ่งหนี้นอกระบบ ที่คิดดอกเบี้ยโหด และทวงหนี้ไม่เป็นธรรม แต่โครงการนี้เพิ่งเริ่มไม่นานทำให้คนที่เข้ามาใช้บริการยังมีน้อยรายและมีการปล่อยกู้ไม่มาก โดยนาโนไฟแนนซ์ ณ เดือน พ.ค. ปีนี้มีบัญชีผู้ใช้สินเชื่อ 1 แสนบัญชี มียอดสินเชื่อคงค้าง 2,718 ล้านบาท ส่วนพิโกไฟแนนซ์มีผู้ได้รับอนุญาตทั่วประเทศเพียง 55 ราย ณ สิ้นเดือน เม.ย.ปีนี้ มีวงเงินให้กู้เพียง 1.2 ล้านบาท สะท้อนว่าแม้จะเป็นทางเลือกที่ดี แต่ก็ยังมีคนเข้าถึงได้น้อยมากเมื่อเทียบกับหนี้ระบบที่มีให้กู้แทบทุกหัวมุมถนน
ถึงปัญหาหนี้นอกระบบปูดจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจากเหตุและผลที่ไล่เรียงมานั้น มีแนวโน้มที่จะทำให้คนที่กู้หนี้ในระบบไม่ได้หันไปพึ่งหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น เพราะตราบใดที่เศรษฐกิจยังเติบโตได้ไม่ดีพอที่จะทำให้รายได้เงินเดือนของคนเพิ่ม จนสามารถไปก่อหนี้มากขึ้นในสัดส่วนที่เหมาะสมได้ คนไม่น้อยคงต้องบากหน้าหันไปพึ่งหนี้นอกระบบอยู่ดี เรื่องนี้เวลาเท่านั้นที่จะเป็นบทพิสูจน์


