หน้าที่ ‘mai’ ทำให้ บจ.เติบโต
บงกชรัตน์ สร้อยทอง18 ปี ที่ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นแหล่งระดมทุนของธุรกิจที่มีศักยภาพขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) มา จนปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 138 แห่ง มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) 3.14 แสนล้านบาท มี บจ.ย้ายไปอยู่ตลาดหลักทรัพย์ (SET) ตามเหตุผลที่แตกต่างกัน
บงกชรัตน์ สร้อยทอง
18 ปี ที่ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นแหล่งระดมทุนของธุรกิจที่มีศักยภาพขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) มา จนปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 138 แห่ง มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) 3.14 แสนล้านบาท มี บจ.ย้ายไปอยู่ตลาดหลักทรัพย์ (SET) ตามเหตุผลที่แตกต่างกัน
"ประพันธ์ เจริญประวัติ" ผู้จัดการ mai กล่าวว่า มี บจ.จาก mai ย้ายไปซื้อขายบนกระดาน SET ทั้งหมด 24 แห่ง นับตั้งแต่ mai เปิดดำเนินการมา 4 ปีแรกมี บจ.ย้ายไป SET ทั้งหมด 6 แห่ง ตามเกณฑ์ที่ระบุว่า ถ้าทุนจดทะเบียนถึง 300 ล้านบาท ต้องย้ายไป SET อัตโนมัติ และปี 2548 เกณฑ์ได้เปลี่ยนให้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของ บจ.
ทั้ง 24 บริษัท ที่ย้ายไป SET มีมาร์เก็ตแคปเติบโตขึ้น แต่บางบริษัทมาร์เก็ตแคปลดลง ซึ่งมีเหตุผลตั้งแต่อุตสาหกรรมโดยรวมของ บจ.ไม่ใช่วงจรขาขึ้น หรือเพราะปัญหาเฉพาะตัวของแต่ละบริษัท
"ส่วนใหญ่ต้องอยู่ใน mai มาระยะ หนึ่งก่อนที่จะย้ายไป SET โดยมีการเติบโตของยอดขายและกำไรสุทธิ หรือเพิ่มทุนโดยใช้เครื่องมือทางการเงินหลากหลายเพื่อการขยายการลงทุนให้ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะธุรกิจแบบเก่าหรือแบบใหม่ หน้าที่ของ mai คือ ทำให้ บจ.ทุกแห่ง 'เติบโตอย่างยั่งยืน' ในทุกมุม"
บจ.ใน mai เพิ่มทุนใช้เครื่องมือทางการเงิน 330 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าการระดมทุน 5.5 หมื่นล้านบาท ถือว่าสูงกว่าช่วงระดมทุนจากขายหุ้นให้ประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท เกือบทุก บจ.ใช้เครื่องมือทางการเงินในตลาดทุนและทำให้บริษัทเติบโตอย่างสม่ำเสมอ
mai ทำได้ คือ "ทำให้ บจ.เติบโต" แต่ บจ.จะย้ายไป SET หรือไม่ เป็นเรื่องที่ บจ.แต่ละแห่งตัดสินใจ เพียงแต่สิ่งที่ mai ไม่อยากเห็น คือ ทุนหรือโครงสร้างทุนที่ไม่ใช่บริษัท เช่น การเบ่งทุนหรือเพิ่มทุนเพื่อให้บริษัทแค่ผ่านเกณฑ์แล้วย้ายไป เพราะจะไปกระทบในส่วนของผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (อาร์โอเอ) และผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (อาร์โออี) ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ อีกทั้งยังทำให้ผู้ถือหุ้นต้องได้ผลตอบแทนที่น้อยลง เท่ากับว่า "บจ.ควรมีทุนที่เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง" แต่การไปเบ่งทุนเพื่อให้ไปอยู่ SET โดยไม่คำนึงถึงขนาดตัวเอง เท่ากับไม่ได้เป็นการตอบโจทย์ของการทำธุรกิจ เพียงแค่เพื่อตอบโจทย์ของความภาคภูมิใจหรือได้ภาพลักษณ์เท่านั้น
บจ.มีจุดประสงค์แตกต่างกันในการย้ายไป SET ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เดินไปข้างหน้าทำให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง หรือต้องการให้เป็นที่รู้จัก รวมทั้งให้นักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาลงทุนหุ้นบริษัทได้
หน้าที่ mai ได้ขยายขอบเขตมากขึ้น ทั้งมุม "ลึกและกว้าง" ความลึก คือ ทำให้ บจ.มีความเข้มข้นและคุณภาพมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นชัด คือ แนะนำให้เห็นประโยชน์ในการใช้เครื่องมือทางการเงิน จน 7-8 ปีที่ผ่านมา บจ.มีโครงสร้างทางการเงินที่ดีและบริษัทเติบโตมาก อีกทั้ง 2 ปีล่าสุดไ ด้นำเรื่องการคำนึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลที่ดี (ESG) มี 10 บจ.เป็นบริษัทนำร่องที่นำเรื่องนี้เข้าไปในกระบวนการทำธุรกิจ และสามารถลดต้นทุนให้บริษัทได้
สำหรับกลุ่มบริษัทที่กำลังจะเข้า mai ด้วยเกณฑ์ที่เข้มข้นขึ้นและต้นทุนค่าใช้จ่ายการระดมทุนก็สูง mai ต้องทำหน้าที่ให้บริษัทมีข้อติดขัดน้อยที่สุด สิ่งที่ทำอยู่ คือ การนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ไปต่างจังหวัด พร้อมพันธมิตรชมรมวาณิชธนกิจและบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน
ภาพกว้าง คือ การขยายวงไปสนับสนุนเอสเอ็มอี และกลุ่มสตาร์ทอัพ ซึ่งอาจยังไม่ถึงเวลาเข้า mai แต่ช่วยให้คำแนะนำจับคู่คนที่พร้อมเข้าไปสนับสนุน หรือการให้ซีอีโอ 13 คน ของ mai เป็นโค้ชแนะนำกิจการเพื่อสังคม (SE) ทั้งหมดนี้เพื่อพัฒนาให้ mai เป็นต้นแบบ (Role Model) ของ SME
"หลายโครงการที่สำเร็จเพราะ mai 'รู้จัก' และ 'สนิท' กับลูกค้า นี่คือกุญแจสำคัญ ทีมงานสามารถต่อสายตรงกับซีอีโอแต่ละบริษัทโดยไม่ต้องผ่านเลขานุการหรือคนที่กรองเรื่องให้ผู้บริหาร และส่วนใหญ่ซีอีโอให้การตอบรับดีเสมอ สิ่งนี้คือทำให้ mai อยู่ได้มาถึง 18 ปี" ประพันธ์ ทิ้งท้าย


