posttoday

20 ปี "วิกฤตเศรษฐกิจ" บทเรียนที่ไม่มีใครลืม

03 กรกฎาคม 2560

2 ก.ค. 2560 เป็นวันครบรอบ 20 ปีของวิกฤตเศรษฐกิจที่โลกขนานนามว่า "วิกฤตต้มยำกุ้ง"

2 ก.ค. 2560 เป็นวันครบรอบ 20 ปีของวิกฤตเศรษฐกิจที่โลกขนานนามว่า "วิกฤตต้มยำกุ้ง"

วันที่ 2 ก.ค. 2560 ถือเป็นวันครบรอบ 20 ปีที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนจากแบบคงที่เป็นลอยตัว ซึ่งเป็นการครบรอบ 20 ปีของวิกฤตเศรษฐกิจที่โลกขนานนามว่าคือ “วิกฤตต้มยำกุ้ง”

เดชา ตุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 เกิดการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากจนกลายเป็นฟองสบู่ สืบเนื่องจากดอกเบี้ยในประเทศสูง จึงมีการกู้เงินต่างประเทศมาลงทุนโดยที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยง เมื่อมีการลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยนทำให้เกิดวิกฤตที่ไม่คาดฝันขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันดอกเบี้ยในประเทศอยู่ในระดับต่ำ จึงไม่ได้จูงใจให้เกิดการกู้เงินจากต่างประเทศมาลงทุนแบบเดิมเพราะไม่คุ้มค่า วิกฤตในรูปแบบในอดีตคงไม่เกิดขึ้น ขณะเดียวกัน ทุกคนมีบทเรียนเก่าที่เกิดขึ้น ทำให้ธุรกิจโดยเฉพาะสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น มุ่งเน้นสร้างเสถียรภาพมากกว่าสมัยก่อน

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงในตลาดก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตา โดยเฉพาะตลาดเงิน เพราะจากดอกเบี้ยโลกต่ำ มีการมองหาการลงทุนในตลาดที่สร้างผลตอบแทนสูงกว่า จึงเห็นเงินไหลเข้ามาบ้าง ยิ่งทางสหรัฐเตรียมจะปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็มีความเสี่ยงที่เงินร้อนจะไหลออกอย่างรวดเร็ว แต่ผลกระทบไม่น่ารุนแรงจนเกิดวิกฤตเมื่อ 20 ปีก่อน

“เชื่อว่าทุกคนระมัดระวังขึ้น ไม่ลืมบทเรียนเก่า หากเป็นอย่างนี้วิกฤตก็ไม่น่าเกิด ส่วนธนาคารกรุงเทพ มีการลงทุนเพิ่มเรื่องการพัฒนาบริการใหม่ด้านดิจิทัล เพิ่มศักยภาพใหม่ ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับเสถียรภาพ จึงเห็นผลประกอบการขึ้นไม่มาก” เดชา กล่าว

ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า หลังจากที่ประเทศไทยเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ในปัจจุบันระบบสถาบันการเงินไทยมีการปรับตัวและพัฒนาจนมีความความแข็งแรง พร้อมที่จะให้การสนับสนุนการลงทุนในโครงการต่างๆ ของประเทศ และการลงทุนประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยทั้งธนาคารพาณิชย์ก็ดี ตลาดทุนก็ดี สามารถสร้างประโยชน์ให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนและขยายตัวของเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

บัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า วิกฤตเมื่อปี 2540 มาจากคนสนุกกับการเก็งกำไร กู้เงินมาลงทุนเพื่อหาผลประโยชน์ โดยทำอะไรที่เกินตัว แต่สภาพในปัจจุบันก็มีความเสี่ยงอีกแบบจากความอืดของเศรษฐกิจโลก จนกลายเป็นความเสี่ยงจากการพัฒนาและปรับตัวไม่ทัน วิกฤตใหม่ที่อาจเกิดจะไม่ใช่รูปแบบเดิมเหมือนช่วงฟองสบู่แตก

ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในปัจจุบันเริ่มเพิ่มขึ้นจะเกิดเป็นปัญหาเหมือนวิกฤตปี 2540 หรือไม่ คิดว่าคงไม่จบเหมือนกัน เพราะขณะนั้นเศรษฐกิจมันระเบิดขึ้นมาเลย แต่ขณะนี้เศรษฐกิจมันอืด คนอ่อนแอคนตัวเล็กจะสะดุดก่อน วิธีแก้ไขมี 2 ข้อ คือแก้เศรษฐกิจให้ขยายตัวให้ได้ และแก้ให้คนอ่อนแอหรือคนตัวเล็กยืนหยัดสู้ได้ด้วยตัวเอง

“ตอนนี้เราก็ปรับตัวกันทั้งนั้น แต่นักลงทุนยังไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เพราะคนก็ยังเลือกข้างไม่ถูกว่าจะแทงไปข้างไหนดี เพราะโลกมันสีเทา ไม่ใช่ขาวหรือไม่ใช่ดำ ใครจะรอดไม่รอดก็ไม่รู้ มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น นี่คือความท้าทาย ใครคิดทะลุ ทันต่อเหตุการณ์ก็รอด” บัณฑูร กล่าว

ปรีชา เตชรุ่งชัยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประธานสายตลา ดการเงิน ธนาคารเกียรตินาคิน กล่าวว่า บทเรียนที่สาคัญจากวิกฤตในครั้งนั้น คือเรื่องของการบริหารสภาพคล่อง และการบริหารสินทรัพย์และหนี้สิน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญในการบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงิน และทำให้มีความระมัดระวังในการก่อหนี้อย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่นำมาใช้กับการบริหารงานจนถึงทุกวันนี้

กรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า บทเรียนจากวิกฤตมีหลายเรื่อง จะต้องมีสติ คิดเอง ระวังกระแส ถ้าทุกคนสมัยนั้นหยุดคิดสักนิดก็คงพอคิดได้ว่าฟองสบู่มันใกล้จะแตก เป็นไปได้อย่างไรที่มูลค่าบริษัทหลักทรัพย์ไทยสูงกว่าบริษัทหลักทรัพย์ระดับโลกอย่าง Merrill Lynch เป็นไปได้อย่างไรที่เรากู้เงินได้โดยแทบไม่ต้องบอกแบงก์หรือนักลงทุนว่าเราจะเอาเงินไปทำอะไร เป็นไปได้อย่างไรที่คนไทยสามารถซื้อบ้านที่แพงที่สุดในโลกจากฝรั่งได้ แถมยังมองว่าได้ของถูก

สัญญาณเตือนภัยตอนนั้นมี หลายคนก็ได้ยินแต่ก็ไม่อยากฟัง เวลาใดที่เราเชื่ออะไรแบบปักใจ เวลานั้นคือจังหวะที่ยิ่งต้องระวัง และขอให้เชื่อในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นหลักคิดที่ใช้ได้กับทุกอาชีพ เคารพความเสี่ยง ทำความเข้าใจกับความกลัว บริหารความโลภ ลดอัตตา อยู่ในความพอดี และเน้นประโยชน์ในระยะยาว

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา