posttoday

บอร์ดรฟม.ไฟเขียวจ้างที่ปรึกษา 2.6 พันล้านบาท

06 มิถุนายน 2560

บอร์ดรฟม.ไฟเขียวจ้างที่ปรึกษาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม 2.6 พันล้านบาทเผยสายสีม่วงตอกเสาเข็มไม่ทันปีนี้ คาดร่วมทุนแบบ PPP Net Cost ตีกลับแผนย้ายจุดจอดรถศูนย์วัฒนธรรมฯ

บอร์ดรฟม.ไฟเขียวจ้างที่ปรึกษาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม  2.6 พันล้านบาทเผยสายสีม่วงตอกเสาเข็มไม่ทันปีนี้ คาดร่วมทุนแบบ PPP Net Cost ตีกลับแผนย้ายจุดจอดรถศูนย์วัฒนธรรมฯ

นายธีรพันธ์ เตชะศิรินุกูล รักษาการผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดภายหลังประชุมคณะกรรมการบริหารกิจการ(บอร์ด)รฟม.ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบว่าจ้างที่ปรึกษาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) วงเงิน 2,617 ล้านบาท ประกอบด้วย บริษัท เอ็มเอชพีเอ็ม จำกัด เป็นที่ปรึกษากำกับการดำเนินงานโครงการ (Project Implementation Consultant : PIC) วงเงิน 458 ล้านบาท บริษัท โชติจินดา คอนซัลแตนท์เป็นที่ปรึกษาบริหารโครงการและควบคุมการก่อสร้างโยธา 1 (Project Management and Construction Supervision Consultant : PMCSC 1) วงเงิน 977 ล้านบาท และว่าจ้างบริษัท เอ็ม เอ เอ คอนซัลแตนท์เป็นที่ปรึกษาบริหารโครงการและควบคุมการก่อสร้างโยธา 2 (Project Management and Construction Supervision Consultant : PMCSC 2) วงเงิน 1,182 ล้านบาท ส่วนด้านความคืบหน้างานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มขณะนี้อยู่ระหว่างสำรวจพื้นที่เพื่อนำไปออกแบบรายละเอียดโดยเฉพาะโครงสร้างใต้ดิน จากนั้นจะดำเนินการรื้อย้ายสาธารณูปโภคตามแนวก่อสร้างก่อนจะเริ่มปิดกั้นพื้นที่และลดช่องจราจรในช่วงเดือนธ.ค.นี้ ที่ผ่านมามีความกังวลเรื่องอุบัติเหตุระหว่างก่อสร้างและปัญหาการจราจรอยู่บ้างเนื่องจากโครงการนี้จะก่อสร้างพร้อมกับรถไฟฟ้าอีกสองสายได้แก่สายสีชมพูและสายสีเหลือง แต่รฟม.ได้เตรียมแนวทางรับมือคล้ายกับการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวคือการใช้มาตรการระยะสั้นและระยะกลางเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรตามจุดต่างๆบนแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า

นายธีรพันธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนด้านความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ระยะทาง 23.6 กิโลเมตร วงเงิน 1.31 แสนล้านบาทนั้นคาดว่าจะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ภายในเดือนนี้หลังผ่านความเห็นชอบสภาพัฒน์แล้วขณะนี้เรื่องอยู่ที่กระทรวงคมนาคมกำลังเตรียมเสนอครม. ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกช่วงศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชัน ระยะทาง 16.4 กิโลเมตร วงเงิน 1.21 แสนล้านบาทอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาพัฒน์ ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงบางแค-พุทธมณฑลสาย 4 ระยะทาง 8 กิโลเมตรวงเงิน 2.11 หมื่นล้านบาทคาดว่าจะได้ข้อสรุปจากคณะกรรมการพีพีพีก่อนเสนอไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ค.นี้

อย่างไรก็ตามโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้จะสามารถเปิดประมูลได้ภายในปลายปีนี้และเริ่มก่อสร้างปีหน้า โดยน่าจะใช้รูปแบบการร่วมทุนแบบ PPP Net Cost โดยรัฐบาลให้เงินอุดหนุนค่าก่อสร้าง ส่วนงานวางรางและการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ ระบบไฟฟ้า เอกชนเป็นผู้ลงทุนเอง แต่ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมีแนวโมที่จะเกิดความล่าช้าหลังจากเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจะติดปัญหาเรื่องพรบ.จัดซื้อจัดจ้างใหม่ที่ต้องรอผลการศึกษาจากกฎกระทรวงคมนาคมว่าจะมีแนวทางอย่างไรเพราะเป็นโครงการแรกของรฟม.ที่จะใช้ระเบียบจัดซื้อจัดจ้างใหม่ประกอบกับกระทรวงการคลังเสนอให้กู้เงินลงทุนจากต่างประเทศอย่างธนาคารพัฒนาเอเซีย (ADB) ราวร้อยละ 10 ของวงเงินลงทุนทั้งหมดส่งผลให้การพิจารณาขั้นตอนของโรงการต้องเสนอให้เอดีบีลงความเห็นด้วยจึงอาจทำให้ขั้นตอนต่างๆต้องล่าช้าออกไปอีกด้วย

นอกจากนี้บอร์ดยังได้มีมติตีกลับแนวทางยกเลิกจุดจอดปัจจุบันของรฟม.บริเวณสถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยเพื่อเปลี่ยนมาใช้ลานจอดรถบริเวณศูนย์ซ่อมบำรุง(depot)ของรฟม.แทน โดยบอร์ดได้สั่งให้กลับไปศึกษาเพิ่มเติมในสามประเด็นได้แก่ ความเหมาะสม แนวทางเลือกเสริมและความคิดเห็นประชาชนผู้ใช้บริการว่าจะมีความชัดเจนออกมาอย่างไร แม้ว่าก่อนหน้านี้รฟม.ได้เสนอว่าการใช้เดปโป้สำหรับทำที่จอดรถนั้นจะประหยัดค่าเวนคืนที่ได้ถึง 2,000 ล้านบาทและรองรับรถยนต์ได้มากถึง 1,000 คัน แต่บอร์ดมีความเห็นว่าควรมองแนวทางอื่นด้วยอย่างการขยายพื้นที่จุดจอดรถบริเวณสถานีรัชดาหรือการเพิ่มพื้นที่จุดจอดเดิมบริเวณสถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยรวมถึงการคาดการณ์ผู้โดยสารและผลกระทบหากเปลี่ยนมาใช้จุดจอดที่เดปโป้ รฟม. ทั้งนี้คาดว่าสามารถสรุปแนวทางการย้ายจุดจอดรถและนำเสนอบอร์ดพิจารณาได้ภายในการประชุมครั้งหน้าในเดือนก.ค. อย่างไรก็ตามยืนยันงานดำเนินการจุดจอดรถบริเวณเดปโป้รฟม.จะไม่กระทบต่อกรอบเวลาการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับโครงสร้างสถานี

ข่าวล่าสุด

สนง.สลากฯ ชูยุทธศาสตร์ปี 69 ลดสลากใบ เพิ่มสลากดิจิทัล–N3 คุมสมดุลตลาด