หนี้สัมมนา...
โดย...จักรพงษ์ เมษพันธุ์ THE MONEY COACH
โดย...จักรพงษ์ เมษพันธุ์ THE MONEY COACH
หลังๆ เวลาให้คำปรึกษาเรื่องหนี้ แล้วคุ้ยแคะแกะเกาลงไปว่า “เป็นหนี้เพราะอะไร?”
พบต้นเหตุของการก่อหนี้ตัวใหม่ที่ไม่ธรรมดา จากเดิมเป็นกินอยู่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ปัจจุบันเริ่มมี “สัมมนาฟุ่มเฟือย” หรือ “สุรุ่ยสุร่ายเรียนรู้” กันอยู่ไม่น้อย
เรียกว่า “เสพติดการพัฒนาตัวเอง” ถึงขนาดบางคนตั้งงบสัมมนาที่ตัวเอง Support ไม่ไหวก็มี (บางคนจ่ายไปเรียนต่างประเทศด้วยนะ ติดหนี้เป็นหลายแสนเลย)
พอถามว่าทำไมสัมมนาเยอะจัง คำตอบที่ได้เหมือนเป็น Pattern นั่นคือ “อยากเก่ง” “อยากพัฒนาตัวเอง” และอีกคำตอบที่นิยมตอบกัน ก็คือ
“กลัวรู้ไม่เท่าคนอื่น”... (อารมณ์ประมาณกลัวตกขบวน เขารู้ เราไม่รู้ แล้วดูแย่!)
พอถามกลุ่มผู้เสพติดการสัมมนาจนเป็นหนี้หนักเหล่านี้ว่า เรียนอะไรกันบ้าง ก็พบว่า สัพเพเหระมาก จนออกแนวครอบจักรวาล หรือพูดง่ายๆ คือ เขาเปิดสอนอะไรกัน ก็ไปเรียนหมด ไม่ได้โฟกัส หรือมีเป้าหมายชัดๆ เลยว่าต้องการพัฒนาตัวเองในด้านใด ต้องการเก่งอะไร หรือต้องการทำอะไรได้ในอนาคต
กลายเป็นอยากรู้ อยากเก่งไปหมดทุกเรื่อง ทั้งที่ในความจริงมันไม่จำเป็น
(ทั้งนี้ไม่ได้บอกว่าการเข้าสัมมนาไม่ดี เพราะคอร์สสัมมนาดีๆ ก็มีอยู่เยอะ และก็ไม่ได้บอกว่า การเข้าสัมมนาเป็นเรื่องสิ้นเปลืองนะครับ เพราะก็มีคนได้ประโยชน์จากการสัมมนาอยู่ไม่น้อย)
ที่น่าสังเกต คือ คอร์สส่วนใหญ่ที่คนกลุ่มนี้ชอบเรียน ออกแนวดีต่อใจ หลายอย่างวัดผล หรือจับต้องไม่ได้
กลยุทธ์ที่ทำให้ผู้เสพติดสัมมนาเหล่านี้ต้องจ่ายเพิ่มตลอด ก็คือ “คอร์สลับ” “ความรู้พิเศษ” หรือ “สิ่งที่คนอื่นให้ไม่ได้” ซึ่งไม่รู้ว่ามีจริงมั้ย จนกว่าจะได้จ่าย ได้เสียเงินกันไป (อาจจะมีก็ได้นะ) และบีบด้วยเวลา มีหน้าม้ามาคอยโพสต์คอยกระตุ้น
เท่าที่ดูอาการโดยรวมๆ ของคนติดหนี้สัมมนา มักจะเกิดอาการ “ขาดสติ” ทุกครั้งที่ได้ยินโฆษณาชวนเชื่อผลลัพธ์ ได้ยินทีไรแล้วรู้สึกไม่ร่วมไม่ได้ ต้องมีเรา ต้องโดน
และเมื่อวินาทีที่ความรู้สึกนี้มา ความรู้สึกยับยั้งชั่งใจในความสามารถจับจ่ายของตัวเองก็หมดไป รูดบัตรลงทะเบียนเรียนกันแบบไร้ความยั้งคิด ที่เหลือคือ คาดว่าผลลัพธ์ของการจ่ายจะทำให้ชีวิตดีขึ้น แล้วกลับมาแก้ปัญหาความสุรุ่ยสุร่ายนี้ได้เอง เช่น
ลงทะเบียนเรียนคอร์สลงทุนหลักหลายหมื่น (ทั้งที่ตังค์ไม่มี) ด้วยหวังว่าเรียนแล้ว จะเอาความรู้มาทำเงินได้มากพอชดใช้หนี้และมั่งคั่งไปพร้อมๆ กันได้ เป็นต้น
ไม่เถียง และไม่ปฏิเสธครับว่า การพัฒนาตัวเองเป็นเรื่องดี และเป็นค่าใช้จ่ายหนึ่งที่เราควรจัดสรรไว้ให้กับตัวเอง
แต่ที่เหมาะ ที่ควร ก็คือ ต้องมีการโฟกัส มีเป้าหมายว่าเราเรียนเพื่อวัตถุประสงค์อะไร และที่สำคัญ ประเมินกำลังความสามารถในการใช้จ่ายด้วย
ถ้ามี ถ้าพร้อม จะเรียนอะไรก็ไม่ว่ากัน !!
แต่ถ้ายังไม่มี ไม่พร้อม ก็อาจเรียนรู้จากสื่ออื่นไปก่อน เช่น หนังสือ YouTube Podcast หรือลงมือทำในเบื้องต้นหรือถ้าตั้งใจจะเรียนคอร์สแพงๆ ให้ได้ ก็ต้องรู้จักเก็บเงิน แล้วอดทนรอคอยบ้าง อย่ากลัวไม่ได้เรียนมากเกินไป เชื่อว่าถ้าคนสอนเขายังไม่ตาย เดี๋ยวเขาก็คงเปิดคอร์สให้เราเรียนอีกนั่นแหละ
ไม่งั้นสุดท้าย จะกลายมาเป็นหนี้หัวโต เพราะความอยากฉลาดไปเสียทุกเรื่อง แต่สุดท้ายก็ “โง่” เรื่องเงินเหมือนเดิม


