คนไอทีขาดหนัก ชี้รัฐยิ่งแก้ช้ายิ่งเสียโอกาส
"แรงงานไอทีไทยในปัจจุบันที่ทำงานตรงสายมีอยู่จำนวนแสนคน ทำงานอยู่ในบริษัทซอฟต์แวร์ข้ามชาติอยู่ 5 หมื่นคน อีก 5 หมื่นคน ก็กระจายตัวในสายงานต่างๆไ
โดย...ณัฏฐ์ธยาน์ สุทธิเจริญ
การเดินหน้าประเทศด้วยนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเกิดจากการผลักดันของทั้งภาครัฐและเอกชนดูเหมือน จะมีทิศทางที่ดี แต่ปัญหาหลักที่ยัง คงทำให้นโยบายไม่สามารถเดินหน้า ต่อไปได้อย่างเต็มกำลังนั่นคือ เรื่องของบุคลากรไอทีที่ยังมีอยู่อย่างจำกัด
ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไอเอ็มซี กล่าวว่า ตอนนี้ปัญหาบุคลากรด้านไอทียังมีอยู่จำกัด จากจำนวนนักศึกษาจบใหม่กว่า 2 หมื่นคน มีเพียง 3,000 คนเท่านั้น ที่ยังสนใจทำงานด้านนักพัฒนาระบบ ซึ่งในจำนวนนี้ถูกซื้อตัวไปทำงานต่างประเทศมากกว่าครึ่ง ทำให้เหลือตัวเลือกในตลาดงานไทยน้อยลงไปอีก
"แรงงานไอทีไทยในปัจจุบันที่ทำงานตรงสายมีอยู่จำนวนแสนคน ทำงานอยู่ในบริษัทซอฟต์แวร์ข้ามชาติอยู่ 5 หมื่นคน อีก 5 หมื่นคน ก็กระจายตัวในสายงานต่างๆ ซึ่งตลาดยังคงต้องการคนกลุ่มนี้เพิ่มอีกอย่างน้อย 5,000-1 หมื่นคน/ปี หากไม่สามารถผลิตออกมาได้ทัน เราจะยิ่งเสียโอกาสในการเดินหน้าประเทศด้วยเทคโนโลยี"
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่านักศึกษาที่เรียนจบมาด้านไอทีค้นพบตัวเองเมื่อเรียนจบแล้ว รวมทั้งเรื่องรายได้ก็เป็นส่วนสำคัญ ขณะนี้ค่าจ้างแรงงานไอทีเริ่มต้นที่ 2 หมื่นบาท หากทำงานในบริษัทต่างชาติจะได้ 3-5 หมื่นบาท ทำให้การไหลออกของคนกลุ่มนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจ
สำหรับสิ่งที่ภาคเอกชนเสนอ เกี่ยวกับการเพิ่มแรงงานคนคือ การออกกฎหมายรองรับให้คนไอทีจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในไทยเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มทักษะและแรงจูงใจในคนในประเทศอยากทำงานไอทีมากขึ้น โดยอาจจะเปิดสถาบันอบรมด้านความรู้หรือเข้ามาทำงานในหน่วยงานต่างๆ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการสานต่อธุรกิจที่กำลังต้องการคนไอทีกลุ่มนี้
ขณะที่ ศุภชัย สัจไพบูลย์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออพติมุส (ประเทศไทย) กล่าวว่า นักพัฒนาระบบของไทยยังไม่ค่อยเข้าใจการ ทำงานระบบไอทีมาก ความเชี่ยวชาญการทำระบบเว็บเซอร์วิสของนักพัฒนาไทยมีมากถึง 72.2% แต่นักพัฒนาไทยยังไม่คุ้นใช้งานระบบไมโครเซอร์วิสและการใช้ภาษา R, Ruby, Python ซึ่งเป็นภาษานิยมในต่างประเทศ
ในอนาคตกลุ่มคนไอทีเดิมจะหายไปจากตลาดงานไปทำอาชีพอื่นที่ รายได้ดีกว่า หากเราไม่สามารถรักษาคนกลุ่มนี้ไว้ได้ ก็ยากที่จะหาคนไอทีหน้าใหม่ นอกจากนำเอาทักษะใหม่ๆ เข้าไปสอนในสถาบันการศึกษามากขึ้นและวางรากฐานอาชีพให้กลุ่มนี้ตั้งแต่ต้น
ทางด้านเทคโนโลยีบล็อกเชน ก็จะเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ของอนาคต ซึ่งกลุ่มธุรกิจโรงงานอุตสาหกรรม ประกันภัยและสถาบันการเงินกำลังต้องการคนเข้ามาช่วยพัฒนาระบบ
"เสน่ห์ของบล็อกเชนคือ แม่นยำและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ การเขียนระบบจะไม่ผูกติดกับคนใดคนหนึ่งแต่ต้องการันตีจากระบบถึงสี่ด้าน เพื่อยืนยันความถูกต้อง ซึ่งบล็อกเชนไม่ใช่ บิตคอยน์ แต่เป็นการนำเทคโนโลยีส่วนหนึ่งมาพัฒนารูปแบบทางการเงินให้ใช้เงินได้ง่ายขึ้น"
การพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนนั้นมีแล้วในสิงคโปร์ ดูไบ และออสเตรเลีย ซึ่งนักพัฒนาของไทยอาจต้องเร่งเพิ่มทักษะด้านนี้ให้ทันกระแสเทคโนโลยีสำหรับอนาคต เพราะเรื่องของการใช้จ่ายจะเป็นปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยน โลกเร็วขึ้นกว่าเดิม


