‘บางกอกกล๊าส’ วางเป้าเบอร์1ในภูมิภาค
หลังจากทำการรีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้ว ทำให้บางกอก
โดย...ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล
หลังจากทำการรีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้ว ทำให้บางกอก กล๊าสพร้อมที่จะเป็นผู้นำด้านการผลิตบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในประเทศ ทั้งบรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ใช่แก้ว หรือ ธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง เช่น ฝาพลาสติก ฝาอะลูมิเนียม ลังพลาสติก กล่องกระดาษลูกฟูก และขวดพลาสติกชนิดอื่นๆ
ทว่า ปวิณ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางกอกกล๊าส มองว่าบริษัทยังขาดในส่วนของผลิตภัณฑ์ “กระจก” และ “งานแก้ว” โดยเฉพาะงานแก้วที่สามารถต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ผสานกับงานศิลปะ เชื่อมต่อกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำไปถึงแถบอาเซียนด้วย
เพื่อให้ได้ตามเป้าทั้งไว้ บริษัทจึงมีแผนแตกไลน์การผลิตไปยังกลุ่ม “กระจกแผ่น” ที่ใช้ทั้งในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมไปถึงการเปิดสตูดิโอเป่าแก้วแห่งแรกในไทย เพื่อเป็นศูนย์ฝึกอบรมและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านศิลปะแก้ว ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าและเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์
ปวิณ บอกว่า บริษัทได้ลงทุน 5,100 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตกระจกแผ่นที่กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี กำลังการผลิต 600 ตัน/วัน คาดสามารถเดินเชิงพาณิชย์ได้ไตรมาส 3 ของปีนี้ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ใช่แก้วให้ขึ้นมาอยู่ที่ 30-40% และลดสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วลงเหลือ 60% จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 85% ภายใน 5 ปีข้างหน้า เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุนธุรกิจ
นอกจากนี้ ยังมีแผนจะขยายตลาดธุรกิจที่ไม่ใช่แก้วไปสู่ตลาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เพราะมองว่าตลาดเพื่อนบ้านอาเซียนมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง และมีการลงทุนก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเมียนมา กัมพูชา และ สปป.ลาว ที่ยังไม่มีโรงงานผลิตแก้วกระจกเอง จึงทำให้เป็นโอกาสของธุรกิจ
“ความจริงตลาดอาเซียนทั้งในเมียนมา กัมพูชา และ สปป.ลาว บริษัทได้เริ่มเข้าไปทดลองทำตลาดในระบบเทรดมาก่อนหน้านี้แล้ว 2 ปี เมื่อโรงงานกระจกแผ่นที่กบินทร์บุรีเสร็จก็พร้อมส่งออกได้ทันที” ปวิณ กล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออก 10% ของรายได้รวมทั้งตลาดยุโรป ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และอาเซียน สำหรับตลาดในประเทศบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 38% ของตลาดรวม ส่วนในอาเซียนมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 36% หรือเกือบเป็นเบอร์หนึ่งของตลาดรวม โดยมี เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ เป็นคู่แข่ง รวมทั้งกลุ่มมูเรียจากอินโดนีเซียที่เป็นคู่แข่งในกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้ว
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศเป็นสิ่งที่บางกอกกล๊าสมองมาตลอด ปัจจุบันกำลังศึกษาว่าที่ไหนมีศักยภาพ และกำลังคุยกับพันธมิตรหลายราย หากต้องการลงทุนจริงๆ คงเป็นประเทศในแถบอาเซียน แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันต้องขอศึกษารายละเอียดก่อน เพราะต้องยอมรับว่าไทยมีต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมแก้วค่อนข้างต่ำ การมีฐานผลิตอยู่ในไทยแล้วใช้ประโยชน์จากเออีซีในการส่งออกอาจจะคุ้มค่ากว่ามาก
“ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะสร้างโรงบรรจุภัณฑ์แก้วใหม่ ต้องคำนึงในหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตลาดภายในประเทศนั้นๆ ราคาต้นทุนค่าพลังงาน ค่าขนส่ง และบุคลากร เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องคิดก่อนตัดสินใจ เชื่อว่าในอนาคตศูนย์กลางอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์แก้วคงขยับเข้ามาในแถบอาเซียน” ปวิณ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนขยายการลงทุนเพื่อสร้างเตาหลอมแก้วที่ 1 จ.ราชบุรี กำลังการผลิต 320 ตัน/วัน มูลค่าลงทุนประมาณ 2,500 ล้านบาท คาดเสร็จกลางปี 2561 ซึ่งหลังจากลงทุนขยายไลน์ธุรกิจใหม่เพิ่มและขยายกำลังการผลิตในกลุ่มผลิตภัณฑ์แก้วแล้ว จะทำให้มีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


