พลวัตการเปลี่ยนแปลง
ตอนนี้ใครๆ ก็พูดถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เรียกว่าDisruptive Technology หรือเทคโนโลยียุคใหม่ที่จะเข้ามาปฏิวัติเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจในอนาคตข้างหน้าอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาของ AI, หุ่นยนต์, Internet of Things คำถามที่เกิดขึ้นคือ เราจะประเมินหน้าตาของอนาคตที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงและจะรับมือกับมันอย่างไรเคยมีกรณีศึกษาทางธุรกิจชื่อดังในช่วงทศวรรษที่ 1980-1990 เกี่ยวกับการประเมินการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอนาคตในปี 1980 บริษัทโทรศัพท์และโทรคมนาคมชื่อดัง AT&T เคยว่าจ้าง McKinsey บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของสหรัฐให้ประเมินถึงศักยภาพของตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่สหรัฐในอนาคตว่าจะมีลูกค้ามากขนาดไหน คุ้มค่าจะลงทุนหรือไม่ เนื่องจาก AT&T มีห้องแล็บวิจัยเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มากในตอนนั้นคำตอบที่ได้จากการประเมินของ McKinsey คือภายในปี 2000 จะมีผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในสหรัฐประมาณ 9 แสนคน ผลก็คือ AT&T ละเลยที่จะทุ่มการลงทุนในการเป็นผู้นำตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ และยังคงเน้นไปที่ธุรกิจดั้งเดิมคือโทรศัพท์บ้าน แต่ผลในความเป็นจริงคือ ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่เติ
ตอนนี้ใครๆ ก็พูดถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เรียกว่าDisruptive Technology หรือเทคโนโลยียุคใหม่ที่จะเข้ามาปฏิวัติเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจในอนาคตข้างหน้าอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาของ AI, หุ่นยนต์, Internet of Things คำถามที่เกิดขึ้นคือ เราจะประเมินหน้าตาของอนาคตที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงและจะรับมือกับมันอย่างไร
เคยมีกรณีศึกษาทางธุรกิจชื่อดังในช่วงทศวรรษที่ 1980-1990 เกี่ยวกับการประเมินการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอนาคตในปี 1980 บริษัทโทรศัพท์และโทรคมนาคมชื่อดัง AT&T เคยว่าจ้าง McKinsey บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของสหรัฐให้ประเมินถึงศักยภาพของตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่สหรัฐในอนาคตว่าจะมีลูกค้ามากขนาดไหน คุ้มค่าจะลงทุนหรือไม่ เนื่องจาก AT&T มีห้องแล็บวิจัยเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มากในตอนนั้น
คำตอบที่ได้จากการประเมินของ McKinsey คือภายในปี 2000 จะมีผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในสหรัฐประมาณ 9 แสนคน ผลก็คือ AT&T ละเลยที่จะทุ่มการลงทุนในการเป็นผู้นำตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ และยังคงเน้นไปที่ธุรกิจดั้งเดิมคือโทรศัพท์บ้าน แต่ผลในความเป็นจริงคือ ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดมากในช่วงทศวรรษที่ 1990 โดยในปี 2000 มีผู้จดทะเบียนใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในสหรัฐกว่า 109 ล้านคน ท้ายที่สุด AT&T ก็ต้องทุ่มเงินกว่า 12,600 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อซื้อกิจการมือถือ McCaw Cellular เพื่อไม่ให้ตกขบวนธุรกิจ
กรณีของ AT&T นี้แสดงให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างการประเมินการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอนาคตและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงว่ามีความซับซ้อนเพียงใด และหากประเมินพลาดแล้วต้นทุนที่กิจการต้องแบกรับก็มหาศาลเช่นกัน ปัญหาในเรื่องนี้ก็คือเรามักจะประเมินเทคโนโลยีใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตบนสมมติฐานจากข้อมูลในอดีต แล้วกำหนดค่าคงที่ค่าหนึ่งไปเป็นอัตราความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดกับตลาดในอนาคต ทำให้การประเมินอนาคตทางเทคโนโลยีในลักษณะนี้ เป็นการประเมินบนฐานของเทคโนโลยีหรืออุตสาหกรรมแบบเดิม
ในทางปฏิบัตินั้นเมื่อเทคโนโลยีใหม่ที่มีโอกาสเข้ามาแทนที่ตัวเก่า มีหลายตัวแปรที่ต้องคำนึงถึงเมื่อเราจะประเมินการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ที่ผู้บริโภคได้รับเทียบกับเทคโนโลยีตัวเก่าการรับรู้ของผู้บริโภคในวงกว้าง และต้นทุนที่ลดลงเมื่อเทียบกับตัวเก่า
สำหรับในปัจจุบันเราจะเห็นกระแสของ Digitalization กำลังมาแรง และมีการทำนายกันว่าจะเป็นเทรนด์ใหม่ในอนาคต แต่ในช่วงเดือนที่ผ่านมาดิฉันได้มีโอกาสเข้าร่วมวงเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดกับ 4 องค์กรในภาคส่วนต่างๆ มีทั้งบริษัทเอกชนรายหนึ่ง บริษัทที่ปรึกษา ทีดีอาร์ไอ และทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยทุกคนถามคำถามเดียวกันค่ะคือ Digitalization จะมีผลกระทบต่อรูปแบบการทำงานในอนาคตเช่นไร
ยกตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่าเรื่องของ Digitalization เริ่มมีการรับรู้เป็นวงกว้างมากขึ้น และทุกฝ่ายเองก็มีการตื่นตัวที่จะรับมือการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่าทุกคนเชื่อแน่ๆ ว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นตัวเร่งให้อนาคตที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นจริงและมาเร็วกว่าที่คิด
สรุปแล้วการที่เราจะรับมือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี Disruptive ในอนาคต เราจำเป็นต้องคิดบนฐานของการมองไปข้างหน้า โดยประเมินจากสิ่งที่กำลังก่อตัวขึ้นในปัจจุบันมามากกว่าการมองสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ทั้งนี้ เนื่องจากเทคโนโลยี Disruptive มักจะมีลักษณะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในอัตราเร่งและส่งผลกระทบเป็นวงกว้างกว่าที่เราคิด เมื่อถึงจุดที่ทุกคนเกิดการตระหนักและเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นแน่ๆ ไปจนถึงการเตรียมตัวรับมือ
สิ่งต่างๆ เพื่อรองรับอนาคตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจริง ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลย้อนกลับมาให้เทรนด์ในอนาคตที่เรามองไว้นั้นเกิดขึ้นเร็วกว่าคาด


