ภาษีคณะบุคคลใหม่ ปี 2558 ตอนที่ 3
โดย...สาธิต ตอนสุดท้ายของบทความ “ภาษีคณะบุคคลใหม่ ปี 2558” จากพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 39) พ.ศ. 2557 ได้มีการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้จากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล (http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/kormor/970658dn149.pdf) ที่มีสาระสำคัญ คือยกเลิกการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับส่วนแบ่งของกำไรหรือส่วนแบ่งเงินได้จากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลตามมาตรา 42 (14) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น หากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลแบ่งส่วนแบ่งของกำไรหรือส่วนแบ่งเงินได้ให้แก่หุ้นส่วนในปีภาษีใด ให้หุ้นส่วนหรือบุคคลนั้นต้องนำส่วนแบ่งของกำไรหรือส่วนแบ่งเงินได้ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร มารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้กับเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นที่ได้รับจากกฎหมายฉบับนี้ ทำให้เงินได้ที่หาได้ในชื่อคณะบุคคลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2558 นอกจากต้องเสียภาษีในฐานะคณะบุคคลแล้ว ยังต้องเอามารวมคำนวณเป็นเงินได้ของเราเพื่อเสียภาษีอีกในปีภาษีที่ได้รับแบ่งเงินได้จากคณะบุคคลออกมา เท่ากับเงินได้ก้อนเดียว ถ้าหาในชื่อเรา
โดย...สาธิต
ตอนสุดท้ายของบทความ “ภาษีคณะบุคคลใหม่ ปี 2558” จากพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 39) พ.ศ. 2557 ได้มีการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้จากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล (http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/kormor/970658dn149.pdf) ที่มีสาระสำคัญ คือ
ยกเลิกการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับส่วนแบ่งของกำไรหรือส่วนแบ่งเงินได้จากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลตามมาตรา 42 (14) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น หากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลแบ่งส่วนแบ่งของกำไรหรือส่วนแบ่งเงินได้ให้แก่หุ้นส่วนในปีภาษีใด ให้หุ้นส่วนหรือบุคคลนั้นต้องนำส่วนแบ่งของกำไรหรือส่วนแบ่งเงินได้ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร มารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้กับเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นที่ได้รับ
จากกฎหมายฉบับนี้ ทำให้เงินได้ที่หาได้ในชื่อคณะบุคคลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2558 นอกจากต้องเสียภาษีในฐานะคณะบุคคลแล้ว ยังต้องเอามารวมคำนวณเป็นเงินได้ของเราเพื่อเสียภาษีอีกในปีภาษีที่ได้รับแบ่งเงินได้จากคณะบุคคลออกมา เท่ากับเงินได้ก้อนเดียว ถ้าหาในชื่อเราในฐานะบุคคลธรรมดา ก็เสียภาษีแค่ชั้นเดียว แต่ถ้าหาในชื่อของคณะบุคคลต้องเสียภาษี 2 ชั้น
นอกจากนี้ คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.149/2558 เรื่องการเสียภาษีเงินได้ของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลมีข้อระบุที่ควรคำนึง 2 ข้อ คือ
ยอดรวมรายได้ทั้งหมดที่คณะบุคคลได้รับในปีภาษี หมายถึง รายได้ที่ต้องเสียภาษีทั้งที่ต้องนำมารวมคำนวณในแบบแสดงรายการและไม่ต้องนำมารวมคำนวณในแบบแสดงรายการ รวมถึงรายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี สรุปง่ายๆ คือ เงินได้ทุกอย่างที่เป็นของคณะบุคคลไม่ว่าจะได้รับยกเว้นภาษีหรือไม่ ต้องเอามารวมคำนวณเพื่อหาส่วนแบ่งเงินได้ที่หุ้นส่วนแต่ละคนได้รับหมด ตัวอย่างเช่น กำไรหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือดอกเบี้ยเงินฝากที่เราถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% แล้ว ถ้าเป็นเงินได้ของคณะบุคคลก็ต้องเอามารวมคำนวณส่วนแบ่งเงินได้ที่ให้หุ้นส่วนในปีภาษีนั้น ทำให้เงินได้ดังกล่าวต้องเสียภาษีตามฐานเงินได้ของหุ้นส่วนแต่ละคน ซึ่งน่าจะมากกว่าภาษีที่หัก ณ ที่จ่าย ทำให้หุ้นส่วนต้องเสียภาษีเพิ่ม
ยอดรวมรายจ่ายระหว่างปีภาษี ต้องเป็นยอดรวมรายจ่ายที่คณะบุคคลได้จ่ายไปจริงๆ ระหว่างปีภาษี รวมถึงค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และค่าภาษีเงินได้ของคณะบุคคลที่ได้จ่ายไปจริงระหว่างปีภาษี สำคัญก็ตรงยอดรวมรายจ่ายที่ได้จ่ายไปจริง เราไม่สามารถใช้อัตราเหมาจ่ายเหมือนตอนยื่นภาษีบุคคลธรรมดาได้ ดังนั้น เราจำเป็นต้องเก็บหลักฐานเพื่อพิสูจน์ค่าใช้จ่ายกับกรมสรรพากร หากไม่มีหลักฐานก็อาจต้องเหนื่อยหน่อยกว่าจะพิสูจน์ให้กรมสรรพากรเชื่อ
ดังนั้น เมื่อการวางแผนภาษีด้วยคณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคลมีปัญหามากขนาดนี้ การบริหารภาษีควรทำอย่างไรดี ผมมีข้อแนะนำดังนี้ ครับ
1.อย่าเอาเงินได้เข้าคณะบุคคล หรือยกเลิกคณะบุคคลไปเลย เพราะไม่มีประโยชน์ ซ้ำมีโทษเพราะเงินได้ก้อนเดียวต้องเสียภาษี 2 ครั้ง ทางที่ดีผมขอแนะนำให้ยกเลิกคณะบุคคลไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมายุ่งเรื่องการยื่นภาษีคณะบุคคลอีกในอนาคต
2.เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ยกเลิกการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับส่วนแบ่งของกำไรหรือส่วนแบ่งเงินได้จากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล หากห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลแบ่งส่วนแบ่งของกำไรหรือส่วนแบ่งเงินได้ให้แก่หุ้นส่วนในปีภาษีใด ให้หุ้นส่วนหรือบุคคลนั้นต้องนำส่วนแบ่งของกำไรหรือส่วนแบ่งเงินได้ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) ดังนั้นเราอาจบริหารได้โดยการรับส่วนแบ่งเงินได้จากคณะบุคคลในปีที่เรามีเงินได้น้อย เราจะได้เสียภาษีน้อย แต่การบริหารภาษีด้วยวิธีนี้อาจลำบากหน่อยนะครับ เพราะสรรพากรอาจมาขอตรวจดูบัญชีเงินฝากในชื่อคณะบุคคลของเราว่ามีการถอนหรือไม่ หากมีการถอน กรมสรรพากรอาจถือว่าเรามีการรับส่วนแบ่งเงินได้จากคณะบุคคลในปีที่ถอน
3.เนื่องจากกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าสัดส่วนของส่วนแบ่งเงินได้ในคณะบุคคลต้องเป็นเท่าไร เราก็อาจบริหารคณะบุคคลได้ โดยกำหนดให้สมาชิกในคณะบุคคลของเราคนที่มีเงินได้น้อยได้ส่วนแบ่งเงินได้จากคณะบุคคลมาก ส่วนสมาชิกในคณะบุคคลคนที่มีเงินได้มาก ก็ให้ได้ส่วนแบ่งเงินได้จากคณะบุคคลน้อย เพื่อที่ภาษีโดยรวมทุกคนจะได้เสียน้อยลง แต่ถ้าทำวิธีนี้ บางคนก็อาจมีความคิดว่า แล้วถ้าอย่างนั้นก็กระจายเงินได้ไปเข้าหุ้นส่วนคนที่มีเงินได้น้อยไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ มาจัดตั้งคณะบุคคลให้ยุ่งยากทำไม เหมือนอย่างที่พวกตัวแทนประกันชีวิตชอบทำกัน โดยใส่ผลงานของตนเองเข้าชื่อญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูงคนที่มีเงินได้น้อยๆ จะได้เสียภาษีน้อยๆ จะว่าไปคิดอย่างนี้ก็ถูกครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องของการบริหารเงินฝากหรือทรัพย์สินอื่นๆ เราก็คงไม่อยากใส่ชื่อคนอื่นเพียงหวังประหยัดภาษี เพราะหากมีปัญหาในอนาคต เช่น ทะเลาะกัน หรือทรยศกัน หรือไม่เชื่อใจกัน หรือคนที่เรายืมชื่อมาเป็นเจ้าของทรัพย์สินเกิดเสียชีวิต เราอาจต้องเสียทรัพย์ของเราได้ครับ อย่าให้เป็น “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” ดีกว่า
4.เลือกจดทะเบียนบริษัทเพื่อใช้เป็นหน่วยภาษี เพราะบริษัทจะเสียอัตราคงที่คือ 20% ของผลกำไรสุทธิ ยิ่งตอนนี้มีข่าวว่ารัฐบาลกำลังจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ก็ยิ่งน่าจะเป็นประโยชน์ แต่การจดทะเบียนบริษัทจะคุ้มค่าเมื่อต้องมีรายได้ต่อปีจำนวนมาก หรือแสดงได้ว่ามีรายจ่ายที่สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้มาก (ต้นทุน) ดังนั้นก่อนตัดสินใจจดทะเบียนบริษัท ลองเปรียบเทียบกับการยื่นภาษีบุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นอัตราภาษีก้าวหน้า 5-35% ว่าคุ้มหรือไม่


