สินค้าอุปโภคบริโภค จับยุคทองอี-คอมเมิร์ซ

ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซหรือค้าขายออนไลน์ที่เติบโตต่อเนื่อง กลายเป็นโอกาสของสินค้าเกือบทุกชนิด โดยข้อมูลจากเพย์พัลและอิปซอสส์ ระบุว่า ยอดใช้จ่ายออนไลน์ทั้งหมดของนักช็อปชาวไทยจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 16% จากปี 2559 ตามที่ประเมินไว้ที่ 3.25 แสนล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.76 แสนล้านบาท ในปี 2560 และนักช็อปออนไลน์ในประเทศไทย 55% ระบุว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายออนไลน์มากขึ้นในปี 2560

ขณะที่จำนวนผู้บริโภคที่ช็อปออนไลน์ข้ามประเทศ 54% เลือกจะช็อปสินค้าหมวดหมู่ประเภทแฟชั่นมากที่สุด อาทิ เสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับ ตามมาด้วยสินค้าในหมวดหมู่การศึกษาและสื่อบันเทิง 40% และ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค 39%

ตัวเลขผลวิจัยที่น่าสนใจคือ สินค้า 3 ประเภทที่คาดว่าจะมีการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นในปี 2560 ได้แก่ ของใช้ในครัวเรือน มีอัตราการเติบโต 24% สินค้าบริโภคเติบโต 20% และสินค้าสำหรับเด็กเติบโต 16%

ด้าน จอห์น แวกเนอร์ กรรมการผู้จัดการ เฟซบุ๊ก ประเทศไทยระบุว่า ในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคมากมายทั่วโลก โดยประเทศจีน ประเทศในทวีปยุโรป และสหรัฐอเมริกา ถือเป็นตลาดอี-คอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่ในปี 2559 ตลาดอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยเติบโตขึ้นราว 15-20%

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2567 ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยจะอยู่ที่ 15% ของตลาดค้าปลีกรวมของประเทศ นับเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่และความท้าทายสำหรับนักการตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันยุคปัจจุบัน

ร็อบ แรนเดอร์ส รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายพัฒนาลูกค้า บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง กล่าวว่า การที่ตลาดค้าปลีกในประเทศไทยมี 2 ขั้วหรือเรียกว่าไบโพลาร์ คือ ขายสินค้าราคาถูกกับราคาสูงไปเลย ซึ่งทั้งสองตลาดมีการเติบโตควบคู่กันไป ส่งผลให้การทำตลาดในประเทศไทยมีความยาก ทำให้ปัจจุบันเริ่มมีการปรับกลยุทธ์ในการทำตลาด ด้วยการทำตลาดแบบไบโพลาร์และอี-คอมเมิร์ซควบคู่กันไป

ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยเริ่มหันมาให้ความสนใจลงทุนทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซมากขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หรือเอฟเอ็มซีจี (Fast Moving Consumer Goods) เนื่องจากแนวโน้มกำลังมา ซึ่งบริษัทก็ได้เตรียมความพร้อมรับมือ ด้วยการตั้งทีมอี-คอมเมิร์ซเข้ามาดูแลการทำตลาดในรูปแบบดังกล่าว

บุญฤทธิ์ มหามนตรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลอ้อน ประเทศไทย ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคเครือสหพัฒนพิบูล กล่าวว่า แนวโน้มการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านออนไลน์ค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
แต่ยังเป็นกลุ่มสินค้าที่ต้องใช้ระยะเวลา ในประเทศที่พัฒนาช่องทางการขายสินค้าอุปโภคบริโภคบนออนไลน์ยังมีสัดส่วน 5-10% เนื่องจากเป็นสินค้าสามารถหาซื้อได้ง่าย ทั้งร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต

ขณะที่ไทยช่องทางออนไลน์สินค้าอุปโภคบริโภคต้องใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปีขึ้นไป จะมีสัดส่วนราว 5% เมื่อเทียบกับช่องทางออฟไลน์ ขณะนี้การซื้อสินค้าออนไลน์ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม
เพอร์ซันนัลแคร์หรือของใช้ส่วนบุคคล สกินแคร์ สินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มคนเมืองมีพฤติกรรมการซื้อสินค้ามากกว่าคนต่างจังหวัด เพราะใช้ระยะเวลาเร่งรีบในชีวิตประจำวันจึงหันมาซื้อสินค้าทางออนไลน์

สำหรับผู้ประกอบการค้าปลีกอย่าง สลิลลา สีหพันธุ์ รองประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม ผู้บริหารห้างเทสโก้ โลตัส กล่าวว่า ปัจจุบันเทสโก้ โลตัส ให้บริการออนไลน์ช็อปปิ้งบนสองแพลตฟอร์มหลักคือ เทสโก้ ช็อป ออนไลน์ จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงอาหารสด และร้านค้าเทสโก้ โลตัส บนออนไลน์มาร์เก็ตเพลสสองแห่งคือ ลาซาด้า และวีเลิฟช็อปปิ้ง เน้นจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าสุขภาพและความงาม สินค้าสำหรับแม่และเด็ก

อย่างไรก็ตาม การทำการตลาดสามารถใช้ช่องทางออนไลน์ของเทสโก้โลตัส ในการเข้าถึงลูกค้ามากกว่า 39 ล้านคน ผ่านทางเฟซบุ๊กและไลน์ สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงในการสื่อสารให้ลูกค้าทราบเกี่ยวกับโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ

ประเทศไทยยังถือว่าเป็นตลาดที่ยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมากสำหรับตลาดอี-คอมเมิร์ซ เห็นได้จากระยะเวลาที่ผ่านมา ลูกค้าเริ่มคุ้นเคยในการหันมาซื้อของอุปโภคบริโภคออนไลน์มากขึ้น เมื่อมีปัจจัยหรือบริการที่ทำให้สะดวกมากขึ้น เช่น การจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว โดยพบว่าลูกค้าที่ใช้บริการครั้งแรกจะมีการกลับมาซื้อของออนไลน์อีกเป็นสัดส่วนค่อนข้างมาก เนื่องจากพอใจในการให้บริการและคุณภาพของสินค้าที่ได้รับ

ในส่วนของกำลังซื้อระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ ขณะนี้พบว่ามีกลุ่มลูกค้าที่เรียกว่า ครอส ช็อปเปอร์ (Cross Shopper) ซึ่งซื้อของทั้งในออนไลน์และออฟไลน์ขึ้นอยู่กับความสะดวก ดังนั้นการเติบโตของออนไลน์ไม่ได้หมายความว่าจำนวนลูกค้าในร้านค้าจะน้อยลง

ภาพที่เกิดขึ้น ทำให้แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคในไทยจำเป็นต้องก้าวให้ทันเทรนด์อี-คอมเมิร์ซ หรือเสี่ยงกับการที่แบรนด์จะหายไป