อย่าติดกับดักความโลภ หยุดซื้อบีอีไร้เครดิต
เมื่อคำเตือนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยเป็นจริง
เมื่อคำเตือนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยเป็นจริง ปรากฏการณ์ตั๋วแลกเงินระยะสั้น (บี/อี) ที่ฮอตฮิตเกิดการผิดนัดชำระหนี้ แม้ว่าวงเงินเบี้ยวหนี้ของ บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ (KC) จะมีแค่ 130 ล้านบาท น้อยมากเมื่อเทียบกับทั้งระบบ 9 เดือนแรกที่ออกตราสารระยะสั้น มูลค่าคงค้าง 4.57 แสนล้านบาท แต่เป็นตราสารหนี้ระยะสั้น ไม่มีการจัดอันดับเครดิต (เรตติ้ง) 41%
การเบี้ยวหนี้ถือว่าเป็นสัญญาณไม่ดี และหากไม่ทำความเข้าใจจะลุกลามเสมือนไฟไหม้ฟาง
การที่บี/อีได้รับความนิยมสูงเป็นเพราะดอกเบี้ยเงินฝากต่ำมานาน ธุรกิจใดเข้ามาระดมทุนด้วยการออกบี/อี ไม่ว่ากี่รุ่นก็หมดเกลี้ยง นักลงทุนโหยหาผลตอบแทนสูงโดยไม่มองธุรกิจหรือคุณภาพบี/อีที่ลงทุน ดูแต่ผลตอบแทนและดอกเบี้ยที่ได้รับเท่านั้น เรียกว่าติดกับดักผลตอบแทนที่สูง แต่เสี่ยงสูญเสียเงินต้น
กรณีบี/อี KC สุพรรณ เศษธะพานิช กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) โซลาริส ผู้ลงทุน ยืนยันว่าผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับเงินต้นและดอกเบี้ยคืน เนื่องจากตั๋วบี/อีที่บริษัทลงทุนนั้นมีที่ดินรับค้ำประกันอยู่ด้วยวงเงินสูงเกือบ 2 เท่า ดังนั้น ผู้ถือหน่วยจะได้รับเงินคืนแน่นอน แม้ว่าตั๋วเงินดังกล่าวครบกำหนดไปแล้วเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2559 ก็ตาม
บลจ.โซลาริสเริ่มลงทุนตั๋วบี/อีของ KC มาตั้งแต่ปลายปี 2558 โดยงบการเงินช่วงนั้นไม่มีปัญหาจึงลงทุนต่อเนื่องจนงบการเงินไตรมาส 3 ปี 2559 มีปัญหา ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็น ประกอบกับระบบตรวจสอบของ บลจ.โซลาริส มีบางประเด็นที่สงสัย จึงขอให้ KC ชี้แจงเรื่องดังกล่าว จนในที่สุด บลจ.โซลาริสขอให้นำหลักทรัพย์มาค้ำประกันหนี้ เพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจและปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุน
ด้าน ธีรสิทธิ์ แสงเงิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KC กล่าวว่า คณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการบริษัทมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำธุรกรรมของอดีตกรรมการบริหารบางคน ช่วงเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับบี/อีของบริษัทที่เสนอขายให้บุคคลในวงจำกัดกับทาง บลจ.โซลาริส
ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทจึงตกลงร่วมมือกับเจ้าหนี้เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และจะแจ้งเรื่องไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
KC มิใช่บริษัทเดียวที่เบี้ยวหนี้บี/อี เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG) ได้ผิดนัดชำระหนี้บี/อี 100 ล้านบาท กับ บลจ.แอสเซท พลัส หลังจากนั้นวันที่ 17 พ.ย. 2559 ก็ผิดนัดชำระหนี้บี/อีแก่ บลจ.โซลาริส 50 ล้านบาท และยังมีบี/อีส่วนที่เหลืออีก แต่กรณีเนชั่น กรรมการขาดคุณสมบัติจากประกาศของ ก.ล.ต. ถือเป็นการผิดนัดทางเทคนิค ซึ่งบริษัทแม่ของ บลจ.ทั้งสองแห่งได้ซื้อตั๋วบี/อีดังกล่าวออกไปจากกองทุน เพื่อนำเงินคืนให้แก่ผู้ถือหน่วยครบทั้งจำนวน และล่าสุดตั๋วบี/อีดังกล่าว นักลงทุนได้มาขอซื้อจาก บลจ.โซลาริสไปแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีหลายบริษัทที่เบี้ยวหนี้บี/อี อย่าง บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น (IFEC) ซึ่ง วิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานบริษัท IFEC ยอมรับว่าผิดนัดจากความขัดแย้งภายใน
ด้าน บริษัท เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป (ACAP) ได้ต่ออายุตั๋วแลกเงินกับ บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (TLUXE) มูลค่า 450 ล้านบาท ออกไป 3 เดือน จากเดิมครบกำหนดวันที่ 23 ธ.ค. 2559 เมื่อต่ออายุตั๋วแลกเงินครั้งนี้จะครบกำหนดในวันที่ 21 มี.ค. 2560 ในอัตราดอกเบี้ย 5.87% ต่อปี
สุกัญญา สุขเจริญไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ACAP กล่าวว่า การยืดชำระหนี้ของบริษัทเพราะผู้ให้กู้ยังไม่จำเป็นต้องใช้เงินและให้กู้ต่อ แต่ไม่ได้มีปัญหาพร้อมคืนเงินกู้ได้ตลอดเวลาเพราะกำไรดี
“อยากเตือนผู้ลงทุนให้พิจารณาให้รอบคอบ อย่าดูเฉพาะดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนที่ได้รับ แต่ให้ดูถึงบริษัทหรือธุรกิจที่เข้ามาระดมเงินด้วย เพราะหากดูที่ผลตอบแทนระวังจะติดกับดักผลตอบแทนสูง แต่สุดท้ายจะสูญเสียเงินต้น”


