posttoday

วิลเบอร์ รอสส์ กับ Distress Investing

24 พฤศจิกายน 2559

โดย...ยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

โดย...ยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวว่า วิลเบอร์ รอสส์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นตัวเต็งที่จะเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ แต่มีอุปสรรค คือ อายุมากถึง 79 ปี หวั่นเกรงว่าจะไม่สามารถทำงานหนักในตำแหน่งนี้ได้

รอสส์จบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเยลและเอ็มบีเอที่ฮาร์วาร์ด ทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านล้มละลายมาอย่างยาวนาน ทำให้เชี่ยวชาญในธุรกิจหลายสาขา เช่น ธนาคาร เหล็ก ถ่านหิน สิ่งทอ ยานยนต์ เดินเรือ ฯลฯ รวมถึงรู้จักกับทรัมป์ โดยเป็นตัวแทนเจ้าหนี้มาเจรจาแก้ไขปัญหาธุรกิจกาสิโนของทรัมป์ที่ล้มละลาย

ต่อมาเมื่อปี 2543 ขณะอายุมากถึง 63 ปี จึงก่อตั้งกิจการของตนเอง คือ WL Ross & Co เพื่อทำธุรกิจบริหาร Private Equity Fund โดยเน้นกลยุทธ์ Distress Investing กล่าวคือ ลงทุนในกิจการที่ประสบปัญหาการเงินอย่างรุนแรง และสร้างกำไรจำนวนมาก จึงได้รับฉายา “ราชันย์แห่งล้มละลาย”

รอสส์ให้ทัศนะว่า ความจริงแล้วการลงทุนรูปแบบ Distress Investing ไม่แตกต่างมากนักกับการลงทุนรูปแบบที่เราคุ้นเคย คือ Deep Value Investing (DVI) กล่าวคือ ทั้งสองรูปแบบเน้นหากำไรภายใต้สถานการณ์ที่ข้อมูลข่าวสารไม่สมบูรณ์ โดยซื้อหุ้นหรือซื้อกิจการที่มีราคาตลาดหรือราคาเสนอขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงตามปัจจัยพื้นฐาน

แต่ DVI จะเน้นซื้อหุ้นในกิจการที่ดีอยู่แล้ว เพราะไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการของบริษัทนั้นๆ นับว่ามีจุดอ่อนสำคัญ คือ หากไม่มีปัจจัยกระตุ้น เช่น ปรับเปลี่ยนผู้บริหาร ซื้อหุ้นคืน ขายกิจการ ฯลฯ จะใช้เวลานานกว่าที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน ทำให้มีกำไรช้า

ส่วน Distress investing จะลงทุนในธุรกิจที่ย่ำแย่ แล้วควบคุมกิจการเพื่อปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการ ทำให้มีกำไรมากกว่าและเร็วกว่า เป็นต้นว่า เขาซื้อธนาคารที่มีปัญหา คือ Kofuku Bank จากรัฐบาลญี่ปุ่น จากนั้นได้เปลี่ยนผู้บริหาร เปลี่ยนกลยุทธ์ เปลี่ยนแบรนด์ ฯลฯ เมื่อสถานการณ์ธนาคารดีขึ้นได้ขายกิจการใน 3 ปีต่อมา สร้างกำไรจำนวนมาก

เขาให้ข้อคิดเกี่ยวกับการลงทุนรูปแบบ Distress investing หลายประการ

ประการแรก ยิ่งธุรกิจสลับซับซ้อนมากขึ้นเท่าใด ยิ่งมีคู่แข่งมากขึ้นในการประมูล ทำให้ซื้อกิจการในราคาแพง

ประการที่สอง โอกาสทำกำไรสูงหากซื้อกิจการที่มี Perceived Risk สูง โดยคนทั่วไปเห็นว่าเสี่ยงสูง ทำให้ซื้อในราคาต่ำมาก แต่ความจริงแล้วเมื่อวิเคราะห์เชิงลึก พบว่ามีความเสี่ยงแท้จริง (Real Risk) ต่ำ

ประการที่สาม การดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจนับว่าสำคัญยิ่งยวด แม้กลยุทธ์เป็นแบบพื้นๆ ไม่โดดเด่นแต่อย่างใด แต่หากดำเนินการดีเยี่ยมแล้ว จะเกิดผลสำเร็จมากกว่ากลยุทธ์ดีเลิศ แต่ดำเนินการแย่

ประการที่สี่ หากเจรจาต่อรองกับรัฐบาลแล้ว จะต้องเจรจาเพื่อให้ได้เงื่อนไขที่ยอมรับได้เท่านั้น

ประการที่ห้า จังหวะเวลาถือว่าสำคัญมาก หากซื้อกิจการรวดเร็วเกินไป อาจเป็นอันตราย เนื่องจากข้อมูลไม่เพียงพอ ทำให้ซื้อในราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น หรือซื้อกิจการที่ยุ่งยากในการแก้ไขปัญหา ฯลฯ ดังนั้น จะต้องยอมชะลอตัดสินใจออกไปเพื่อให้ได้รับข้อมูลชัดเจนยิ่งขึ้น แม้ว่าอาจจะต้องซื้อกิจการในราคาแพงขึ้นบ้าง

ข่าวล่าสุด

ยุคทอง YouTube Podcast เดือนเดียวยอดชมบนทีวีพุ่ง 700 ล้านชั่วโมง