posttoday

เซอร์วิสชาร์จ

15 พฤศจิกายน 2559

โดย...รุจิระ บุนนาค

โดย...รุจิระ บุนนาค

สังคมทุกวันนี้ผู้ประกอบการบางรายจะหาช่องทางเรียกเก็บค่าบริการจากผู้บริโภคมากขึ้น แม้กระทั่งการให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้าเล็กๆ น้อยๆ นอกเหนือจากการให้บริการหลักของผู้ประกอบการ เช่น จัดเตรียมที่นั่ง ผ้าปูโต๊ะ บรรยากาศที่สะดวกสบาย แอร์ดีพัดลมเย็น พนักงานให้บริการ ฯลฯ บางครั้งเรียกเก็บรวมเป็นส่วนต่างไปกับค่าบริการหลัก ทำให้ลูกค้าส่วนหนึ่งสงสัยและเห็นว่าเป็นการเอาเปรียบลูกค้า ไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มในส่วนนี้ นั่นก็คือค่าบริการหรือค่าเซอร์วิสชาร์จ (Service Charge)

ค่าเซอร์วิสชาร์จ เป็นค่าบริการอื่นๆ ที่ร้านอาหารหรือภัตตาคารเรียกเก็บเพิ่มขึ้นมา นอกเหนือจากค่าอาหารที่ลูกค้าสั่งตามปกติ ส่วนใหญ่ค่าบริการประเภทนี้จะเกิดขึ้นกับร้านอาหารหรือภัตตาคารขนาดกลางและขนาดใหญ่ ลูกค้าที่เข้าร้านจะเป็นคนที่มีรายได้พอสมควรหรือรสนิยมค่อนข้างดี

ผู้ประกอบการจะเรียกเก็บค่าเซอร์วิสชาร์จร้อยละ 10 ของค่าอาหารทั้งหมด และอาจเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ด้วย ซึ่งผู้ให้บริการมีสิทธิเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการได้ ทำให้ดูเหมือนเรียกเก็บซ้ำซ้อนกัน คนที่ไม่ค่อยดูใบเรียกเก็บเงินหรือบิลจะไม่สังเกตเมื่อพนักงานของร้านมาเก็บเงิน แต่สำหรับคนที่ช่างสังเกตจะไม่อยากจ่าย เพราะในเมื่อทางร้านเรียกเก็บค่าอาหารไปแล้วก็ไม่ควรจะมาเรียกเก็บค่าอย่างอื่นเพิ่มอีก ทั้งที่บางครั้งการให้บริการแทบไม่ต่างจากร้านทั่วไปที่ไม่ได้เรียกเก็บค่าเซอร์วิสชาร์จ และพนักงานในร้านไม่ได้บริการลูกค้าดี หรือเอาใจใส่เป็นพิเศษนอกเหนือจากหน้าที่ของตน

ร้านอาหารบางร้านจะรวมค่าเซอร์วิสชาร์จในแต่ละเดือนเพื่อเฉลี่ยจ่ายเป็นค่าตอบแทนกับพนักงาน ซึ่งเป็นการผลักภาระให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการต้องจ่ายเพิ่ม ทั้งที่พนักงานมีรายได้จากทางร้านในแต่ละเดือนอยู่แล้วจากกำไรของผลประกอบการ

การเรียกเก็บค่าเซอร์วิสชาร์จอยู่ในความสนใจเพราะมีคนนำไปตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ชื่อดังว่า จะไม่ยอมจ่ายค่าเซอร์วิสชาร์จให้กับร้านอาหารที่เรียกเก็บอีกต่อไป ทั้งยังได้ไปปรึกษาทนายความมาแล้วว่า ร้านอาหารไม่มีสิทธิเรียกเก็บ

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ระบุว่าผู้ประกอบการสามารถเรียกเก็บได้ แต่ถ้าไม่ได้ระบุเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ต้องพิจารณาด้วยว่ามีการเรียกเก็บกับลูกค้าคนอื่นๆ เหมือนกันหรือเปล่า

ถ้าลูกค้าไม่ประสงค์ที่จะจ่ายค่าบริการ จะต้องคัดค้านตั้งแต่แรก แต่ถ้าไม่พูด นั่งนิ่ง สั่งอาหาร แล้วค่อยมาโวยวายทีหลัง แสดงว่ายินยอมและสมัครใจที่จะใช้บริการของเขาแล้ว จะอ้างว่าไม่ยินยอมหรือให้สัญญาเป็นโมฆะอาจจะไม่ได้ จริงๆ แล้วตามความเห็นนี้อาจจะถูกต้องโดยหลักการ เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดเจนให้ผู้ประกอบการเรียกเก็บค่าเซอร์วิสชาร์จได้ เป็นเรื่องของคำเสนอคำสนอง เมื่อถูกต้องตรงกันเกิดเป็นสัญญาระหว่างทางร้านกับลูกค้าที่เข้าใช้บริการ ลูกค้าจึงต้องจ่ายค่าเซอร์วิสชาร์จ

แต่ในความเป็นจริง น้อยคนนักที่ทักท้วงเกี่ยวกับประเด็นนี้ ยิ่งคนที่ไม่ค่อยอยากมีเรื่องหรืออยากมีปัญหาจะยอมจ่ายเพื่อตัดปัญหา ประเด็นที่ควรพิจารณา คือ เมนูค่าอาหารของบางร้านไม่ชัดเจน ไม่ได้ระบุค่าเซอร์วิสชาร์จ แต่จะบอกในตอนที่ลูกค้าเรียกเช็กบิลค่าอาหารทั้งหมด  

ร้านไหนที่เรียกเก็บค่าบริการประเภทเซอร์วิสชาร์จโดยลูกค้าไม่เต็มใจ หรือไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนลูกค้ามีสิทธิไม่จ่ายค่าเซอร์วิสชาร์จได้ และร้านนั้นอาจถูกนำมาโพสต์ในโลกออนไลน์เพื่อให้สังคมรับรู้ถึงความเอาเปรียบของผู้ประกอบการ และคนที่ติดตามหรือทราบข่าวอาจจะหลีกเลี่ยงไปใช้บริการของร้านค้าธรรมดาอื่นๆ ที่ไม่เรียกเก็บค่าเซอร์วิสชาร์จ ทั้งที่ไม่มีบริการอะไรพิเศษเพิ่มเติมนอกจากการนั่งรับประทานอาหารตามปกติ

สำหรับค่าเซอร์วิสชาร์จนี้พนักงานอาจได้รับส่วนแบ่งจากทางร้าน ไม่ใช่เงินค่าจ้างที่นายจ้างจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน จึงไม่ใช่ค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน หากนายจ้างไม่จ่ายโดยไม่มีข้อตกลงตามสัญญาจ้าง หรือตกลงไว้ในสภาพการจ้าง ลูกจ้างไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินในส่วนนี้ได้

นอกจากนี้แล้วบางครั้งลูกค้าที่มาใช้บริการร้านอาหาร นอกจากจะจ่ายค่าเซอร์วิสชาร์จแล้ว ยังจ่ายทิปให้กับพนักงานเป็นการส่วนตัวอีกต่างหากถ้าพึงพอใจในการให้บริการของพนักงานคนนั้น แต่ค่าทิปนั้นไม่ถือเป็นรายได้ของร้านอาหาร ส่วนค่าเซอร์วิสชาร์จนั้นถือเป็นรายได้ของร้านอาหารที่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เพราะบางครั้งนายจ้างมักอ้างอยู่เสมอว่าเรียกเก็บแทนลูกจ้าง จึงไม่ต้องนำมาคำนวณเป็นรายได้ของบริษัท เมื่อร้านอาหารหรือผู้ประกอบการไม่นำมาคำนวณเป็นฐานรายได้ของบริษัทในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล รัฐย่อมต้องขาดรายได้ไปส่วนหนึ่ง และถ้าเจตนาหลบเลี่ยงหรือจงใจไม่จ่ายภาษี อาจโดนกรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษีย้อนหลังได้เช่นกัน

ดังนั้น ค่าเซอร์วิสชาร์จที่ร้านอาหารจะเรียกเก็บจากลูกค้าหรือผู้ใช้บริการได้ ควรมีการบอกป้ายหรือระบุรายละเอียดให้ชัดเจน เพื่อจะได้ไม่เป็นปัญหากับลูกค้า และเมื่อเรียกเก็บแล้วควรที่จะปรับปรุงการให้บริการต่างๆ ให้ดีขึ้นกว่าเดิม และจัดเก็บเป็นรายได้ของผู้ประกอบการเพื่อเสียภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมาย แม้จะเป็นเงินจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับลูกค้าแต่ละคนต้องจ่าย แต่เมื่อเรียกเก็บรวมกันจากลูกค้าหลายคน จะกลายเป็นเงินจำนวนมาก จึงควรจัดการให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อไป

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา