'เมคเกอร์ คลับ' เทกสตาร์ทอัพเชียงใหม่
เราเชื่อว่า การที่มีคนที่มีความสามารถหลากหลายมาอยู่รวมกัน คอยแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกัน
โดย...ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล
“เราเชื่อว่า การที่มีคนที่มีความสามารถหลากหลายมาอยู่รวมกัน คอยแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกัน จะทำให้เกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ได้เร็วกว่าการเรียนรู้เพียงลำพัง และนั่นอาจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นผลงานนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาก็ได้”
จากแนวคิดนี้ จึงทำให้เกิด “เชียงใหม่ เมคเกอร์ คลับ” ขึ้นมา ภายใต้การสนับสนุนของ ภานุทัต เตชะเสน ผู้ก่อตั้ง เชียงใหม่ เมคเกอร์ คลับ และกลุ่มผู้ประกอบการสตาร์ทอัพเชียงใหม่
ภานุทัต ขยายความต่อว่า การรวมตัวของคลับนี้ เป็นไปตามโมเดลของการทำธุรกิจของเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ ที่ต้องการสร้างธุรกิจก่อนตั้งบริษัทหรือโรงงานเอง เพราะคนที่มีความคิด มีไอเดียทางธุรกิจ ส่วนใหญ่จะยังไม่มีเงินทุนในการลงทุนตั้งบริษัทเป็นของตัวเอง จึงตั้งเป็นคลับขึ้นมา ให้คน “มีของ” มารวมตัวกัน แล้วเปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้สามารถเข้ามาใช้บริการเป็นทั้งออฟฟิศ ห้องแล็บวิจัยคิดค้นงาน และโรงงานผลิตแบบเปิดกว้าง 24 ชั่วโมง ไม่มีค่าใช้จ่าย
“การเปิดกว้างตลอดเวลานี้ เพราะมองว่า ไอเดียเกิดได้ตลอดเวลาเช่นกัน เมื่อมีไอเดียเกิดขึ้นก็สามารถเข้ามาทำได้ทันที ทำให้คลับนี้มีคนที่มีความสามารถหลากหลาย ส่งผลให้เกิดการพัฒนาและต่อยอดที่เร็วขึ้น” ภานุทัต กล่าว
ภานุทัต กล่าวอีกว่า หากผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่มีศักยภาพก็จะช่วยหาพาร์ตเนอร์ให้ โดยการจัดงาน เมคเกอร์ คลับ ปาร์ตี้ ขึ้นมาประจำทุกปี เพื่อเป็นเวทีเปิดให้ผู้ที่สนใจและกำลังมองหาผลงานนวัตกรรมใหม่ๆ มาจับคู่ซื้อขายงานกัน ซึ่งจะมีทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติมาร่วมงาน ทำให้ผลงานของเทกสตาร์ทอัพกลุ่มนี้มีโอกาสต่อยอดสู่ตลาดโลกได้
สำหรับผลงานของน้องๆ เทกสตาร์ทอัพในเชียงใหม่ เมคเกอร์ คลับแห่งนี้ สามารถผลิตและขายต่อเชิงพาณิชย์ได้แล้ว 3-4 ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซอฟต์แวร์ แอนิเมชั่น แอพพลิเคชั่น กราฟฟิกดีไซน์ ทั้งรูปของงานอิเล็กทรอนิกส์และงานพรินต์ (ผ้า) และระบบคลาวด์ ที่พัฒนาเป็นโปรเจกต์ๆ ไป รวมทั้งโครงการพัฒนาโมเดลรถโกคาร์ตของน้องๆ ในคลับ ที่พัฒนาจนเตะตาสิงคโปร์มาติดต่อขอซื้อไปพัฒนาเป็นรถแข่งโกคาร์ตแล้ว
ภานุทัต ขยายความเพิ่มถึงเหตุผลที่ว่าทำไมสตาร์ทอัพของเชียงใหม่จึงมาอยู่ในกลุ่มของเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์ เพราะเชียงใหม่มีโครงสร้างทางเศรษฐกิจครอบคลุมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาคบริการ อุตสาหกรรม และภาคเกษตร นอกจากนี้ ยังมีความพร้อมจากการเป็นคลัสเตอร์ดิจิทัล มีสถาบันและการสนับสนุนจากหน่วยงานที่พร้อมเป็นพี่เลี้ยงและให้คำปรึกษา พร้อมด้วยแหล่งเงินทุนที่จะช่วยขยายตลาดและบริการให้กระจายตัวอย่างหลากหลาย จึงคาดและเชื่อว่าจากศักยภาพดังกล่าว ในอนาคตเชียงใหม่น่าจะเป็น “เมืองแห่งสตาร์ทอัพได้อย่างมีศักยภาพ”
ขณะที่ ณัฐ วีระวรรณ์ ประธานกลุ่มเชียงใหม่ เมคเกอร์ คลับ เล่าถึงความสำเร็จของเมคเกอร์ คลับ เชียงใหม่ ว่า เหตุผลที่เชียงใหม่เกิดได้ก่อนกรุงเทพฯ เพราะที่นี่มีความ “อิสระ” ทำให้เกิดความหลากหลาย เกิดการเรียนรู้ที่อิสระ มี “เครื่องมือ” “สถานที่” และ “มีความเป็นเชียงใหม่” เหล่านี้ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ได้เยอะ เพราะเมื่อคิดออกแล้วสามารถทำได้ทันที โดยสามารถทำลายข้อจำกัดต่างๆ ที่การทำงานในกรุงเทพฯ ทำไม่ได้ เช่น การเดินทางฝ่าการจราจรที่ติดขัด
“เชียงใหม่ เมคเกอร์ คลับ เป็นเหมือนห้องแล็บของเด็กที่มีไอเดีย แต่ขาดสถานที่และเครื่องมือรองรับ ที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งสร้างคนรุ่นใหม่ที่เป็น 4.0 และเป็นเทกสตาร์ทอัพหน้าใหม่ที่พร้อมเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 เพื่อนำพาประเทศไปสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0” ณัฐ กล่าว
อย่างไรก็ดี กฎระเบียบของการทำงานที่เมคเกอร์ คลับ มีเพียงข้อเดียวคือ ทุกโครงการที่ใช้ทรัพยากรของคลับนี้ต้องเปิดข้อมูล และเมื่อสำเร็จจะต้องเขียนบทความอธิบายโครงการให้คนที่มาทีหลังทราบว่าทำอะไร หรือเรียนรู้อะไรจากที่นี่กันไปบ้าง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันและแชร์ความรู้นั้นออกไป
นั่นจึงเป็นความรู้อันถาวรและระบบในการถ่ายทอดความรู้ที่มีประสิทธิภาพ ที่จะทำให้ผลตอบแทนในทางการเงินตามมาอย่างยั่งยืน


